Thursday, March 26, 2009

ผลการทำนาย ตอนที่คุณเกิดมาบนโลกในอดีตชาต

Sunday, February 15, 2009

หนึ่งวัน ล้านสนุก

Friday, January 23, 2009

ต้อนรับน้องใหม่ Holga 120CFN

เมื่อวานไปส่งคุณ nettynet ไปออส
เธอเลยฝากผม ดูแลเจ้า Holga 120CFN

เป็นกล้อง ฟิล์ม 120 ป็นกล้องฟิล์ม 120 ที่มาพร้อมแฟลชสีในตัวปรับได้ 4 สี คือ ขาว แดง เหลือง และ น้ำเงิน ถ่ายได้ประมาณ 12 ภาพ (6cm X 6 cm) มาพร้อมสายคล้อง และ adaptor แปลงให้ถ่ายได้ 16 ภาพ (6 cm X 4.5 cm) เลนส์พลาสติกอีกเสน่ห์ที่น่าหลงใหลเช่นเคย
(เนื้อที่โฆษณา)

แต่เราไม่อยากซื้อ ฟิล์ม 120 เลย มันเปลือง
เลยกะว่าจะซื้อ 135adapter มาใส่ สนนราคาตั้ง 600 แหนะ
หรือว่าใครใจบุญให้ยืมก็จะดี

แต่ว่า เจ้าโฮลก้า นี่มันใช้ยากนะ
ต้องไปหาคู่มือมาอ่านและ

Friday, December 12, 2008

ใครจะเป็นผู้ว่า กทม.

Monday, December 01, 2008

หะเหลิมมาแว้วววววว

วานนี้ วันนี้ และในอนาคต
กลุ่มที่เรียกตนว่า นปก. หรือ นปช. จะย่อมาจากอะไรก็แล้วแต่
ต่างระดมพวกพ้องน้องพี่ เหล่าพลพรรคนเสื้อแดงมาชุมนุมกันที่ลานคนเมือง หน้าศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร
เพื่อ..
ก็จะเพื่อใคร เพื่อคงอำนาจรัฐของพวกพ้องน้องพี่ เอาไว้ไง

สืบเนื่องจาก การที่จะมีคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในคดียุบพรรค
โดยที่ นปช. อ้างว่า ตุลาการเอนเอียง และ ข้อกฏหมายดูจะไม่เป็นธรรม

เรื่องตุลาการนั้น ทางพรรคพลังประชาชน ก็ยื่นคัดค้านไปแล้ว
ส่วนข้อกฏหมายก็คงต้องไปนำสืบแก้ต่างกันในศาล

ผมมานั่งดูพฤติกรรมการดิ้นพล่านๆ ของคนเสื้อแดง แล้วก็ให้สงสาร
เพราะโดยปกติ คนที่มีอำนาจรัฐในมือก็มักจะออก กฏหมายเพื่อสนองประโยชน์
แต่ไม่ใช่ว่า รัฐบาล จะไม่อยากแก้รัฐธรรมนูญประเด็นยุบพรรค แต่ว่าเมื่อไรก็ตามที่มีคำว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ
ก็จะโดนสังคมและ หรือ รวมถึงกลุ่มพันธมิตร ออกมามาเบรก

พปช. และพรรคร่วมอื่นๆ พยายามบอกว่า กฏหมายยุบพรรคไม่เป็นธรรม เพราะว่ายุบคนไปด้วย
และคนเเหล่านั้นพรรครัฐบาล ก้มักจะอ้างว่า เป้นบุคคลากรที่มีคุณภาพ
ผมก็ยังไม่เห็นว่าใครมันจะมีคุณภาพเลยซักคน
แต่ ผม และเชื่อว่า มีอีกหลายคนที่เห็นว่า กฏหมายนี้เป็นการลงโทษหรือป้องปรามไม่ให้ นักเลือกตั้งทั้งหลาย โกง หรือซื้อเสียง

ไม่ว่าคำวินิจฉัยของศาล จะยุบหรือไม่ยุบ ก็แล้วแต่
พรรคทั้งหมด ก็หาทางออกไว้หมดแล้ว ไม่เห็นจะต้องเดือดร้อน
แล้ว ส.ส. พลังประชาชน ก็จะสิ้นสมาชิกภาพแค่ไม่กี่คน ประมาณ 18-19 คน
แต่ว่า นายกฯสมชาย ก็จะเป็นนายกฯต่อไม่ได้ นั่นคือประเด็น

ประเด็นสำคัญอย่างยิ่งยวดคือ นายกฯคนต่อไปจะชื่ออะไร

ตามข่าวบอกว่า มีอยู่ สองคน คือ เป็ดเหลิมพ่อปื๊ดสสสสสส์ กับ เจ๊มิ่ง

ถ้าเป็นจริงล่ะก็

เตรียม..เยสโนโอเคโคคาโคล่าเมลามีน กันได้เลย

Saturday, November 29, 2008

ปิดสนามบินแล้วยังไงล่ะครับ

Thursday, November 06, 2008

รู้จักกับ COP14

หลายคนคงเคยได้มีโอกาสชมภาพยนตร์ The inconvenient truth กันมาบ้าง หนังสารคดีที่มี อัล กอร์ เป็นตัวดำเนินเรื่องนั่นแหละ
หนังเรื่องนี้ ชี้และกระตุ้นให้ผู้ชมตระหนักถึงภัยอันตรายของภาวะโลกร้อนซึ่งจะมีผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติทั้งโลก

ก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดการตื่นตัว รณรงค์ใส่ใจเรื่องโลกร้อน และก็เกิดเป็นกระแสถุงผ้าลดโลกร้อนในเมืองไทย ฮิตราวกับกระแสมือตบพันธมิตรอย่างนั้น

แต่เวลาอันใกล้ แต่ละประเทศจะได้แสดงบทบาทและจุดยืนเกี่ยวกับปัญหาโลกร้อนอีกครั้ง ในการประชุม ที่มีชื่อภาษาอังกฤษยาวเฟื้อยเลื้อยขึ้นหลังคา ว่า
The 14th Conference of the Parties to the United Nations Framework Convention on Climate Change (UNFCCC) หรือชื่อย่อคือ COP14

ดูจากชื่อก็พอจะทราบว่า เป็นการประชุมว่าด้วยเรื่องการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของประเทศในภาคีอนุสัญญา UNFCCC นี่เอง

COP14 จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 1-12 ธันวาคม ที่เมือง Poznan, Poland

บนเวที COP14 จะเป็นการเจรจาความเมืองเรื่องโลกร้อน ซึ่งก็จะแบ่งย่อยออกเป็นหลายๆเรื่อง เนื่องจากประเด็นโลกร้อนเข้าไปเกี่ยวพันกับหลายๆส่วนของระบบเศรษฐกิจและวิทยาศาสตร์

ด้านฝ่ายเศรษฐกิจ ก็คงต้องยอมรับว่า ประเด็นเรื่องโลกร้อนกลายมาเป็น ปัญหาการกีดกันทางการค้าแบบใหม่ไปแล้ว ประเทศไหนที่ผลิตสินค้าโดยปล่อย Greenhouse Gas (GHGs) ออกมามาก ก็จะโดนห้ามส่งออกไป EU ซึ่งก็จะกลายเป็นเรื่องที่น่าสงสาร เพราะว่า ประเทศเหล่านั้นส่วนใหญ่ก็เป็นประเทศกำลังพัฒนาไม่มีเทคโนโลยีในการผลิตเพื่อลดการปล่อย GHGs ซึ่งนั่นก็เป็นประเด็นหนึ่ง ที่ประเทศกำลังพัฒนาต้องปรับตัวและต่อสู้ในข้อนี้

เป็นตัวอย่างข้อขัดแย้งทางการค้าที่ขอยกมาให้ดูพอเห็นภาพ
เพราะทั้งที่จริงมีเรื่องของการปล่อย GHG ตลาดซื้อขายคาร์บอน เครื่องมือและข้อปฏิบัติหลังจากพิธีสารเกียวโตหมดอายุลงไปในปี 2012 ซึ่งเป็นประเด็นที่มีทั้งผู้ได้และเสียประโยชน์
ส่วนสายวิทยาศาสตร์ ก็มีการพูดกันถึงการช่วยเหลือและพัฒนาเทคโนโลยี ให้แก่ประเทศกำลังพัฒนาว่าจะช่วยกันลดโลกร้อนหรือลดการปล่อย GHG กันอย่างไร ซึ่งประเด็นนี้ ประเทศที่พัฒนาแล้วก็ตั้งแง่ เพราะว่าไม่อยากจะเสียเงินให้กับ LDC โดยที่ประเทศตัวเองไม่ได้อะไรตอบแทนกลับไป

เป็นแค่ตัวอย่างน้ำจิ้ม ความดุเดือดเลือดพล่านของการเจรจาความเมือง เรื่องผลประโยชน์ระหว่างประเทศ รวมถึงความเป็นไปของโลก

COP14 จึงเป็นเวทีที่น่าจับตามองอย่างยิ่งว่า โลกจะไปทางไหน และไทยจะไปทางใดในกระแสการเมืองโลก

อย่าหวังมากไป

นาทีนี้ขอเกาะกระแสความแรงของ ประธานาธิบดีผิวสี (ไม่ใช่ผิวสีแต๊ๆ เพราะอี เป็นลูกครึ่ง) คนแรกของสหรัฐอเมริกา ซึ่งได้รับความไว้วางใจจากประชาชนให้เข้าไปบริหารประเทศ สืบแทนนาย บุช ผู้ลูก

ในยามนี้ อเมริกาต้องการอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วกอบกู้วิกฤตด้านเศรษฐกิจ
ดูเหมือนคนอเมริกัน ก็หวังอย่างสูง ให้ โอบากง เอ้ย โอบาม่า เข้ามาแก้ปัญหา

ใครอยากรู้เรื่องเลือกตั้ง ประธานาธิบดี เพิ่ม ก็หาอ่านได้จาก CHANGE ของปกป้อง จันวิทย์ คนกันเอง

สถานการณ์ยามนี้ ของสหรัฐฯ ทำให้นึกถึง ตอนสมัยรัฐบาลชวน2
ไทย เผชิญต้มยำกุ้ง อัศวินขี่ม้าขาวผู้มาพร้อมความหวัง ก็คือ ใบมีดโกนเล่มงาม ผู้จบกฏหมายจากธรรมศาสตร์ (สาขาเดียวกับที่ โอบาม่า จบมา)
คนไทยหวังว่า ทีมเศรษฐกิจอย่าง ดร.ซุป และ เฮียธารินทร์ จะเข้ามาช่วยได้
แต่กลายเป็นว่า ทั้งสองคนดันมาชวนกันมากินเกาเหลาซะงั้น
ยิ่งกลายว่า ซำ้เติมปัญหาเข้าไปอีก

สุดท้ายคนไทยเบื่อ ชวน เลยหันไปเท ให้กับ ทางเลือกใหม่ ที่เค้าอ้างคล้ายๆกับว่า
เรามาเปลี่ยน --> คิดใหม่ ทำใหม่ (มัน CHANGE we need) ป่าวอะ
แล้วตาแม้ว เค้าช่วยชาติได้จริงมั๊ย
อันนี้ขอยกไว้ เพราะว่าไม่อยากพูดถึง เพราะไม่ชอบนโยบายหลายๆอย่างของแม้ว เมี้ยว

แต่ผมก็ไม่รู้ว่า การเมืองแบบไทยๆ และคนแบบไทยๆ
จะไปเกิดแบบที่ สหรัฐหรือไม่ เพราะว่า พื้นฐานหลายๆอย่างไม่เหมือนกัน

แต่ก็น่าหนักใจแทน โอบาม่า ที่เหมือนได้รถจากัวร์คันงาม แต่ยางดันรั่วเสียนี่
ูดูกันต่อไปว่า โอบาม่า จะเปลี่ยนยางหรือสตรีมยาง ยังไง

Thursday, October 30, 2008

ตามตะวันที่แม่ตะมาน (2)

เท้าความจากตอนที่แล้ว ทั้งคณะยังอยู่ที่ วัดร่องขุ่น ครับ

ที่วัดร่องขุ่น บรรดาตากล้องต่างบ่นอุบ เพราะว่า ตัวโบสถ์เป็นสีขาว ทำให้ถ่ายยากมาก

ข้างในโบสถ์ ก็ยังสร้างไม่เสร็จดี ภาพเขียนในโบสถ์ก็ยังอยู่ระหว่างการรังสรรค์ของช่าง
ทั้งคณะเราเสียเวลาให้กับภาพเขียนในโบสถ์พอสมควร เนื่องจากเป็นภาพเขียนที่ไม่เหมือนใคร
มีตัวละคร อุลตร้าแมน และอีกหลายๆตัวฯลฯ สงสัยถ้ามีทักษิณ คงโดน พันธมิตร ยกไปปิดวัดแน่ๆ
(อยากรู้ว่า พระพุทธรูปชินวัตรมุนี นี่อยู่ จังหวัดอะไรหว่า)

สิ่งหนึ่งที่ไปวัดร่องขุ่นแล้วไม่ควรพลาด นอกจากจะเป็น ไอติม แล้ว
ยังมี มุม Lost&Found ซึ่งกลายเป็นสิ่งมหัศจจรย์ของโลกไปแล้ว
เพราะว่า ของหาย ที่ นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวที่วัดร่องขุ่น แกล้งทำหาย มีหลายอย่างมาก
ได้แก่....กระเป๋าสตางค์ อันนี้ธรรมดา
แว่นตา กล้องถ่ายรูป หมวก อันนี้ก็ธรรมดา
ที่ งง คือ กุญแจรถ....แล้วจะกลับบ้านยังไง
แล้วก็มีลืมคือ หนังสือที่พึ่งซื้อไปจากวัดนั่นแหละ อะร้ายยยยยจะขี้ลืมปานนั้น
คิดว่าถ้ารวบรวมอีกซักสองปี ทำพิพิธภัณฑ์ได้เลยแหละ

ทั้งคณะเสียเวลากับวัดร่องขุ่นไป ชั่วโมงเศษ
เราก็ลา วัดร่องขุ่น ไปตามเส้นทางที่ลัดเลาะผ่านหมู่บ้าน แต่เราไม่ได้เห็นวิถีชาวบ้านมากนัก เนื่องจากดูหนัง บอดี้การ์ดหน้าเหลี่ยมภาคสองอยู่
ยิงกันตูมตาม แต่ผมก็หลับ ตื่นมา ก็ยังยิงกันตูมตาม ไม่เลิกเสียที

จุดหมายต่อไป คือ สามเหลี่ยมทองคำ ครับ
สามเหลี่ยมทองคำ เป็นจุดชมวิว ที่เราจะสามารถมองเห็น
จังหวัดท่าขี้เหล็ก ของพม่า
แขวงบ่อแก้วของลาว ได้โดยทอดสายตาข้ามแม่น้ำโขงไป

ส่วนพื่นที่ฝั่งไทย คือบ้าน สบรวก (อ่านว่า สบ-รวก เมื่อก่อนตอนเรียน อ่านว่า สะ-บรวก)
ก็คือตำบลแห่งหนที่แม่น้ำรวก ไหลไปสบกับแม่น้ำโขง บริเวณนี้เคยมีการค้าฝิ่นกัน
ปัจจุบัน เป็นที่ขนถ่ายสินค้า แล้วก็เป็น บ่อน ล่ะพี่น้อง...โฮะๆๆ ช่างน่าไปเล่นเสียจริง


ทั้งคณะเราก็แค่แวะถ่ายรูปกันพอหอมปากหอมคอ
แล้ว ก็ขึ้นรถกลับมา ดูบอดี้การ์ดน่าเหลี่ยมต่อ (เวง)
จุดหมายข้างหน้าสำหรับค่ำคืนนี้คือ เชียงของ
ระหว่างทาง จากสามเหลี่ยมทองคำ มา เชียงของ เราค่อยๆลัดเลาะตามภูมิประเทศที่เป็นเขา เลียบมาตามแม่น้ำโขง ผมตื่นตากับวิวทิวทัศน์ข้างทางเพราะว่าสวยจริงๆ

เชียงของเป็นอำเภอที่จัดว่า เล็กๆและเงียบสงบ มีเสน์ห์ในความเงียบ
แต่ดูว่าที่ผมไปมันจะเงียบพิกล

คณะเรา เดินทางไปถึงก็ ห้าโมงเย็นแล้ว
เข้าพักที่ โรงแรมน้ำโขงริเวอร์ไซด์ ที่อ้างว่า ดีที่สุดในเชียงของ

ห้องที่เราพัก หันหน้าเข้าหาแม่น้ำโขง
ผมอารามดีใจ รีบผลักประตูออกไปนอกระเบียง ชมความงามของตะวันชิงพลบ
เสียงผมคงดังไปหน่อยเลยทำให้ฝรั่งที่กำลังดื่มด่ำกับความเงียบสงบแห่งสายน้ำโขงหันมาแจกค้อนผม
ต้อง sorry กันเลยทีเดียว

ภาพเบื้องหน้า คือ แม่น้ำโขง ที่ไหลเอื่อยๆ ผ่านสองฝั่งไทยลาว เรือน้อยๆค่อยพายทวนกระแสน้ำ เสียงนกร้องกลับรัง
ตะวันดวงเดิม ก็ค่อยๆลับฟ้าลากลางวันไปอย่างเชื่องช้า

เป็นภาพที่ชวนจินตนาการ และทอดอารมณ์ไปกับความงามและความสงบยิ่งนัก

ไม่ช้านาน ผมก็ชวนกลุ่มวัยรุ่นที่มา ไปสำรวจพื้นที่เชียงของกัน

(ติดตามตอนต่อไป ว่าเชียงของมีอะไร)


Monday, October 27, 2008

ตามตะวันที่แม่ตะมาน (1)


ฟ้าใกล้สางแล้ว พระอาทิตย์ค่อยๆโผล่พ้นขอบฟ้า สาดแสงสีทองเรื่อๆ
นกกางเขนบินมาเกาะที่ระเบียง ร้องปลุกผมให้ลุกจากเตียง

ผมเองก็ยังอยากจะดื่มด่ำกับนิทรา แต่ว่าเพราะต้องไปสนามบินให้ทันเช็คอิน
เลยต้องกระวีกระวาดลุกออกจากเตียงลายผ้าปูสนู้ปปี้
แล้วก็เผ่นไปอาบน้ำ คว้ากระเป๋า แล้วก็เรียกเเท็กซี่ ไปสนามบินโดยพลัน


รถแท็กซี่ วิ่งเร็วราวกับเหาะ แค่ไม่กี่อึดใจผมก็ถึงสนามบินที่มีฝรั่งพลุกพล่าน
โดยเฉพาะแถวรอเชคอิน ซึ่งบัดนี้เปิดรอรับผู้โดยสาร
ภาพเบื้องหน้าคือ ผู้ร่วมทางอีกสองคน คือ อ.นิรมล ที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ และ พี่ตุ้ย-เพื่อนของอ.นิรมล-- ผู้ร่วมทางกันมาหลายทริปแล้ว ทั้งวังน้ำเขียว ห้วยขาแข้ง และเจ็ดคต

ส่วนอีก 4 คน คือ พี่ป้อม น้องสาว อ.นิรมล สามี และลูก น้องน้ำหวาน กับ น้องใบบัว
นักเรียน ป. 5 แต่ว่าตัวสูงจะเท่าผมซะแล้ว

เครื่องบินการบินไทย พร้อมแล้วพาผมแล้วอีกหลายร้อยคน เหินฟ้าสู่ นครพิงค์เวียงเชียงใหม่

ผมนั่งกับ น้องน้ำหวานกับใบบัว ซึ่งสดใสมาก
คำถามแรกที่น้องถามคือ พี่ดู AF รึป่าว แล้วพี่เชียร์ใคร ....ผมนึกในใจว่า โห กระแสมันยังแรงอยู่นะเนี่ย
อีกคำถามที่ฟังแล้วชวนคิดคือ เพื่อนพี่อะ มีใครเป็น ทอม ป่าว....งง ไปเลย


ดวงตะวันเริ่มสาดแสงแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าไม่อาจลอดกลุ่มเมฆฝนที่ปกคลุมเหนือท้องฟ้า นครพิงค์เชียงใหม่ไปได้

9.20

ผมเดินลงมาจากเครื่องบิน แล้วก็เจอกับ สมาชิก อีกสี่คน ซึ่งนั่งรถนครชัยทัวร์มารอ คือ
ดร.ปุ๋ย --อาจารย์พิเศษ ม.สงขลานครินทร์--
พี่โบ --ว่าที่อาจารย์พิเศษ ม.สงขลานครินทร์--
กอล์ฟ --ว่าที่อาจารย์พิเศษ ม.สงขลานครินทร์--
และน้องส้มโอ --นศ. MIF--

ทั้งสี่คนดูสดใส แม้ว่า เมื่อคืนจะนั่งรถมา แต่เพราะด้วย โจ๊กจากกาดต้นพยอม แถวคณะทันตะ เลยทำให้ดูร่าเริง แม้แต่กอล์ฟ ที่ได้โจ๊กคัพ (เพราะว่ากินมังสวิรัติ) ก็ดูจะสดใสเช่นกัน

อีกคนที่ดูร่าเริงคือ พี่ทรงศักดิ์ สารถี ที่หน้าไปละม้ายคล้ายนักข่าวช่อง 3 ชิบ จิตนิยม (เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมา)


ทั้งคณะ 12 ชีวิต เดินทางมุ่งไปยัง จ.เชียงราย
ระหว่างทาง ไม่มีเจ้าดวงตะวัน โผล่ให้เห็นเลย ช่างเป้นวันที่ เมฆทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเทียว

คณะเรา แวะ กินข้าว ซึ่งไม่รู้จะเรียกว่ามื้ออะไร แถวข้างทาง
เเต่เป็นร้านที่อุดมด้วยความชุุ่่มชื้นของสายน้ำ

ข้าวมื้อแรกบนดินแดนล้านนาหอมกรุ่น อร่อยยิ่งยัก
แม้ว่ากับข้าวจะเป็น ไข่เจียว ก็ตาม


จากร้านอาหาร เราก็มุ่งตรงไป อ.เมือง เพื่อจะไปเเวะชมวัดที่ขึ้นชื่อว่าสวยงามมาก
วัดร่องขุ่น นั่นเอง

วัดนี้ เนรมิตใหม่โดย เฉลิม...ไม่ใช่ สธ.1 แต่เป็น เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์
ผมยืน งง กับภาพเบ้องหน้าชั่วครู่ เพราะว่าสร่างจากนิทรามาใหม่ๆ
เลยเดินตรงไปยัง ร้านไอติมมะพร้าว หอมอร่อย ยิ่งนัก

ไว้มาเล่าต่อไปนะ