Sunday, November 12, 2006

ย่ำแดนมังกร(14): คืนสู่ฮ่องกง (1)


เกินหนึ่งปีมาแล้วล่ะครับ สำหรับการไปเที่ยวครั้งนี้ ผมกลับมานั่งดูรูปเก่า ยังพอจำได้ทุกรายละเอียด ก็จะพยายามเจียดเวลามาเล่าสู่กันฟัง กลัวเหลือเกินว่า มัวเขียนบล๊อคจนละเลยทีสิส ไป



ดูพลุเสร็จแล้วจาก หน้าต่างโลก ขากลับการจราจรวุ่นวายพอสมควร อย่างว่าแหละ ตอนมาต่างคนต่างมา แต่ขากลับดันกลับออกไปพร้อมๆกันเสียนี่ รถออกมาได้หน่อย ผมก็เหลือบไปเห็นไฟของ หมู่บ้านวัฒนธรรม ซึ่งก็เป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกที่ ที่น่าไปเหยียบ (ไว้มีเวลาจะมาเล่าให้ฟัง)

ระหว่าง ไกด์ท้องถิ่น แกก็เล่าเรื่องอะไรๆ ฆ่าเวลาไป ดึกแล้ว 3 ทุ่มกว่า รถที่เซินเจิ้น ก็ยังติด แต่ที่เพลินตากว่าบ้านเราคือ ตึกสูงๆ แทบจะทุกตึกนี่ล้วน เปิดไฟแข่งกัน ทางรัฐบาลจีนมีนโยบายให้ตึกในเซินเจิ้น หรือเมืองท่องเที่ยว อย่างเซี่ยงไฮ้ เปิดไฟสู้กัน เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยว เข้าใจว่าจะใช้มาตรการทางภาษี (อันนี้ไกด์บอกมา)

รถมันติดหนักเข้า เฮียเรืองสิทธิ์ เลย ถามคำถามให้พวกเราช่วยกันเดา ว่า ในอีก 10-20 ปีข้างหน้า มีสามสิ่ง ที่คุณจะไม่ได้เห็นในจีน
ก็ทายกันสนุกเลย

ท่านผู้อ่านลองทายสิว่ามันคืออะไร อิอิ

การที่ไม่มีเจ้าสามสิ่งนี้ บ่งบอกถึงวิสัยทัศน์ต่อการพัฒนาของจีนในโลกอนาคต แต่ผมไม่รู้ว่ามันจะเป็นดัชนีชี้วัดได้ดีหรือเปล่า แต่ผู้บริหารจีนเค้าเชื่ออย่างงั้นนะ อันนี้ก็บอกไม่ได้

ดูตึกก็แล้ว ทายปัญหาก็แล้ว ก็ยังไม่ถึงที่พักซักที ไกด์ท้องถิ่นของเรา ก็งัดไม้เด็ด ร้องเพลงให้ฟังมันซะเลย เพลงจีนที่คนไทยคุ้นหูมากที่สุดเพลงหนึ่ง เป็นเพลงประกอบละคร เรื่อง The Bund หรือ ในภาษาไทยว่า เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ นำแสดงโดย โจวเหวินฟะ ไกด์ก็กรุณาร้องซะจนจบเพลง ยังไม่พอ คนจีนท่านนี้เลยแถมเพลงไทยด้วย ผมค่อนข้างประหลาดใจเพราะว่า ไม่น่าเชื่อว่า คนจีนที่เรียนภาษาไทยมาห้าปีท่านนี้ ร้องเพลงลูกทุ่งได้ด้วย เพลงกลิ่นโคนสาบควาย

ขำในความน่ารัก แล้วก็ความสามารถ ออกอักขระชัดเจนทุกตัวอักษร ผมว่าคนไทยอายก็แล้วกัน

จบเพลง ก็ถึงที่พัก พอดี พรุ่งนี้เช้าคงต้องออกแต่เช้า เพราะว่าวันอาทิตย์ คนที่สถานีรถไฟจะเยอะ สูตร 7-8-9 ก็คงใช้ไม่ได้แล้ว
ต้องใช้สูตร 6-7-8 หมายความว่า เราต้องตื่น หกโมง กินข้าว 7 โมงเช้า และออกไปสถานี 8 โมง

คืนนั้น จำได้ว่าหลับ กระจายเพราะว่าเหนื่อยมากๆๆๆ เหนื่อยกับการจัดกระเป๋า เพราะว่า จะเอากระเป๋าที่ซื้อมากลับยังไง ต้องตัดสินใจรวมกระเป๋า เอาเสื้อผ้าไปไว้ในกระเป๋าเดียว แล้วอีกสองใบก็จัดการเก็บกระเป๋าทั้งหมดของแม่!!!! แถมต้องออกลูกอีกใบ เพื่อเก็บผ้าห่มขนสัตว์ ที่อุตส่าห์ไปซื้อมาตอนบ่าย สิริรวม กระเป๋า 4 ใบ......-"-

ตอนเช้า บรรยากาศมัวๆนัวๆ ยังไงพิกล อาหารเช้ารสชาติ แค่ประทังชีพเท่านั้น
แปดโมงเราทั้งหมดก็ เตรียมตัวอยู่ที่ ล๊อบบี้ เพื่อเช๊คเอ้าท์ แล้วก็ออกจากโรงแรม
กระเป๋า ก็ให้ Bellboy หิ้วลงมา ระหว่างที่รอ check-out มีสมาชิกในทัวร์เราจะเอาของในกระเป๋า เจ้า bellboy อีไม่ยอมเว้ย อีนึกว่า จะเอากระเป๋าไปโดยไม่ให้ทิปอี เฮียเรืองสิทธิ์ก็เลยต้องส่งภาษาบอกไป แล้วก็หันมาอธิบายให้ลูกทัวร์ฟังว่า คนจีนเมื่อก่อนไม่รู้จักงานบริการ ไม่รับทิป เพราะว่าเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ ทุกคนต้องทำเอง แต่พอเปิดประเทศแล้ว คราวนี้ทุกอย่างเป้นเงินเป็นทองหมด เลย แงว!!! กลัวจะไม่ได้ทิป สุดท้ายก็เลยทิปรวม เข้าใจว่า 50 หยวน ก็สมเหตุสมผลอยู่

พอเชคเอาท์แล้ว งานหนักของทุกคน คือลากกระเป๋า ไปสถานีรถไป Lo Wu ระยะทางราวๆ 500 เมตร แต่ต้องข้ามสะพานอีกแล้ว ระหว่างทางก็จะมีพวกรู้งาน จะมาช่วย สนนราคา 10 หยวน ก็ได้แต่บอกว่า Bu Yao -ปู๋เย่า- เราไม่ต้องการ เค้าก็ฟังภาษาจีนรุ้เรื่อง ก็มันคนจีนนี่หว่า ก็ไม่มาจุ้นกับเรา
ตอนขามาแค่ 2 ใบก็หอบแล้ว แต่นี่ขากลับดันซื้อมาก สม!!! เจอไป 4 ใบ ทั้งแบก ทั้งลาก โคตรจะทรมาน นึกถึงคำของไกด์เมื่อคราวมากวางเจาว่า มาสบายต้องนั่งรถ มาลำบากต้องรถไฟ ซึ้งเล้ย!!!

แต่สุดท้ายก็ถ่อสังขารมาจนถึง ตม. ของ Lo Wu เราหยุดรอ ไกด์ซาซ่า ซึ่งมาจากฝั่งฮ่องกง จะมารับเรา ซักพักนึง ระหว่างรอ สามีน้าผกา ก็หยิบกล้องมาถ่าบรูป ปรากฎว่า ตำรวจเดินมาหน้าตาขึงขังจะมายึดกล้อง เพราะว่าห้ามถ่ายรูป (มันบอกตอนไหนว่าห้ามถ่ายวะ) เฮียเรืองสิทธิ์ เลยเข้าไปเจรจา ตอนแรก เราก็เห็นพูดดีๆ ซักพักทำไมชี้หน้าด้วยฟะ แล้วตำรวจก็บอกว่าให้ลบรูป ซะ จบ!! อาเฮียเลยบอกว่า ก็เป็นยังงี้แหละ ป้ายเป็นภาษาจีน ใครจะไปอ่านออก แกก็เลยบอกตำรวจไปว่า ถ้าเป็นพ่อแม่คุณไปเมืองไทยแล้วอ่านภาษาไทยไม่ออก คุณจะทำยังไง ?? เจอมุขนี้เลยต้องปล่อย

รอคุณซาซ่าไม่นาน เราก็ออกเดินทาง ก็คือต้องไปตรวจหนังสือเดินทางทำเรื่องออก แล้วก็ร่ำลาไกด์ศิลป์ ไป ไม่รุ้ว่าแกดีใจรึป่าว อิอิ
ตรวจตอนออกไม่สู้ยุ่งยากเท่าไร แต่ว่าแถวยาวมาก เพราะว่าเป็นเช้าวันอาทิตย์ นักท่องเที่ยวกลับ คนจีนไปเที่ยวฮ่องกง ก็มี กว่าจะหลุดตรวจคนออกเมืองมาได้ ก็เกือบ 10 โมงแล้ว ก็มาเจอด่านตรวจคนเข้าเมืองของฮ่องกง ก็ไวขึ้นมานิดนึง กว่าจะซื้อตั๋วรถไฟ แล้วก็ไปยืนรอที่ชานชาลา ก็ปาไปเกือบ 11 โมงแล้ว

ชานชาลาก็เหมือนรถไฟฟ้าบ้านเรา นั่นแหละ คราวนี้ไกด์ซาซ่า ก็บอกให้เราเลือกเอาโบกี้หน้าๆ(อีกแล้ว) หลังจากคราวที่ขามาไม่ได้นั่งคราวนี้ ขอนั่งซะหน่อยนะ



จะเข้าสู่ฮ่องกงแล้ว มีอะไรสนุกๆระหว่างทางด้วย ติดตามอ่านนะครับ

3 Comments:

At Tuesday, November 14, 2006 1:31:00 PM, Blogger pickmegadance said...

ดีใจจัง จะได้ไปเที่ยวฮ่องกงแล้ว

 
At Wednesday, November 15, 2006 10:48:00 PM, Blogger lunar said...

นานโคตรๆ ดองยิ่งกว่าวิบูลย์กิจอีกอ้ะ

 
At Friday, November 17, 2006 9:38:00 PM, Blogger 009 said...

หุหุ แบบนี้อีกกี่เล่ม ผมถึงจะได้ตามไปถึง
ฮ่องกงล่ะครับ
แต่ความจำดีจังเลยอะ

 

Post a Comment

<< Home