Tuesday, May 20, 2008

โอ้เสียงปี่พระอภัยไม่สิ้นมนต์

ข่าวการขโมยปี่ ของพระอภัยมณี ที่อนุสาวรีย์สุนทรภู่ อำเภอแกลง เป็นที่สะเทือนใจของชาวบ้านร้านตลาดแถวนั้น
เรียกว่าแช่งชักหักกระดูกคนขโมยกันเลยทีเดียว

เรื่องก็มาจบแบบ แฮปปี้ เอนดิ้ง คือพบ ปี่พระอภัยในกองขยะแล้ว
พระอภัยมณีก็คงไม่เหงานิ้วแล้ว

(นึกภาพไม่ออกว่า เวลาข่าวนี้ออกไปต่างประเทศ ฝรั่งจะเข้าใจมั๊ยว่า ว่าปี่หาย ถึงต้องขึ้นหน้าหนึ่งด้วย)


แต่ผมมาขัดหูอยู่หน่อยตรงที่ ผู้วิเคราะห์ข่าวหลายท่าน พยายามจะสื่อว่า
ที่อ.แกลง นี่เป็นบ้านเกิดของมหากวีสุนทรภู่
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่

สุนทรภู่นั้น เป็นชาววัง นะครับ
สุนทรภู่ นี่เกิดแถววังหลัง ซึ่งก็คือ สถานีรถไฟบางกอกน้อยไปปัจจุบัน
ถ้าเป็นสมัยนี้ก็ต้องบอกว่า สุนทภู่นั้น มิใช่เด็กบ้านนอกคอกนา เป็นเด็กกรุงเทพนาเฟ้ยยย (จริงๆต้องบอกว่า เป็นคนฝั่งธน สินะ)
ได้รับการศึกษาจากสำนักดังอีกด้วย

คนอาจจะติดภาพจาก นิราศเมืองแกลง ว่าสุนทรภู่ไปหาบิดา
อาจจะติดภาพจาก พระอภัยมณี ที่(สันนิษฐานว่า) สุนทรภู่เลือกเอาเกาะเสม็ดเสร็จทุกรายมาเป็นโลเกชั่น

นานๆไป อาจจะเข้าใจผิดกันได้ว่า สุนทรภู่ เป็นคนระยอง
เพราะว่า ตามประวัติจริงๆ สุนทรภู่ ก็อยู่ระยองแบบนับวันได้

กลับมาพูดถึงเรื่องปี่ พระอภัยมณีกันบ้าง
นิทานเรื่องพระอภัยมณีนี่ ยาวมาก แต่ว่าสุนทรภู่ไม่ได้แต่งแบบรวดเดียวจบ
แต่ก็ไม่ได้เป็น เจ็ดภาค แบบ แฮรี่ พอตเตอร์ นา

พระอภัยมณีเป็นเรื่องมหัศจรรย์และออกจะแหวกจารีต ที่พระเอก ไมไ่ด้ถือดาบ แต่ดันมีปี่เป็นอาวุธ
พระอภัยมณีไปเรียนวิชาเป่าปี่ มาจากสำนักไหนไม่ทราบ
(นึกถึงเรื่อง ซีชั่นเชนจ์ แต่รายนั้น ตีกลอง)


และปี่ของพระอภัยมณีนี่เอง ที่เสนาะหูพลิ้วกังวาน มีอำนาจสะกดให้หลับไหลไปได้ แล้วก็ที่มาของเรื่องราวต่างๆ

พระฟังความพราหมณ์น้อยสนองถาม

จึงเล่าความจะแจ้งแถลงไข

อันดนตรีมีคุณทุกอย่างไป

ย่อมใช้ได้ดังจินดาค่าบุรินทร์

ถึงมนุษย์ครุฑาเทวราช

จตุบาทกลางป่าพนาสิน

แม้นปี่เราเป่าไปให้ได้ยิน

ก็สุดสิ้นโทโสที่โกรธา

ให้ใจอ่อนนอนหลับลืมสติ

อันลัทธิดนตรีดีหนักหนา

ซึ่งสงสัยไม่สิ้นในวิญญา

จะนิทราเถิดจะเป่าให้เจ้าฟัง

แต่ว่าพอนางผีเสื้อสมุทรได้ยินแว่วๆ ดันไม่หลับ ก็แปลกนะครับ แต่ว่าคงพอเคลิ้มๆ เลยตามมาดู พอแลเห็นพระอภัยก็เกิดใจคิดพิสวาส อุ้มพระอภัยฯ ไปทำสามีซะเลย

ก็เลยกลายเป็นที่มาของเรื่องราวต่างๆมากมาย
เสียดายที่ปี่พระอภัยฯ มีบทบาทอยู่ตรงที่ เป่าให้นางยักษ์อกแตกตายเท่านั้น

จากนั้นบทบาทของเรื่องไปอยู่ที่ สุดสาคร ขโมยซีนกันเห็นๆ
แล้วพระอภัยฯ ก็ไม่่ค่อยได้ใช้ปี่ มาเป่าโชว์เท่าไร มีบ้างก็ประปรายไม่เด่น

นั่นก็เพราะว่า สุนทรภู่คงไม่ได้วางพล็อตไว้ล่วงหน้า
นึกคิดเอาแบบสดๆ
แต่จะยังไงเสียกระบวนกลอนของสุนทรภู่ ก็เป็นสุดยอดต้นแบบ ของกวีในยุครัตนโกสินทร์กันแทบจะทุกทั่วตัวคน

ผมเลยจะขอแอบเอากลอนที่ ผมไม่ได้แต่ง แต่ว่า เป็นของอาจารย์ภาษาไทยของผม
ชื่อ อ.ดวงพร หลิมรัตน์
อาจารย์แต่งไว้ ให้ผมอ่านหน้าเสาธง วันสุนทรภู่ ก็ตั้งเกือบสิบปีมาแล้วนะ (คิดว่าน่าจะสิบปีแล้วล่ะ) ลองอ่านกันดู แล้วอีกเดือนเราคงได้พบกันในวันสุนทรภู่ 26 มิ.ย. 2551

บนในลานจารพระคุณสุนทรภู่
บรมครูแห่งอักษรอันอ่อนหวาน
ดุจดั่งน้ำผึ้งรวงจากดวงมาน
หยาดหยดผ่านพื้นพิภพจบแดนดิน

จากนิราศเก้าเรื่องแฝงเคืองขัด
กรรมตามซัดล่องนาวาชลาสินธุ์
รักแล้วร้างเสน่หาน้ำตาริน
มิรู้สิ้นค่าล้ำคำกวี

เพลงฝากรักหวั่นไหวใจจะขาด
พิศวาสมากล้นจนเหลือที่
พลิ้วกังวานม่านฟ้าถึงวารี
โอ้เสียงปี่พระอภัยไม่สิ้นมนต์

บทเห่กล่อมเสภาถ้อยจารึก
สอนสำนึกสุภาษิตจิตคลายหม่น
คลื่นชีวิตของความหวังเหมือนวังวน
ท่านดั้นด้นจนผ่านผันวันทุกข์ใจ

บนใบลานจารพระคุณสุนทรภู่
บรมครูแห่งอักษรอันอ่อนไหว
ค่อยเรียงร้อยถ้อยภาษาแทนมาลัย
บูชาบนแผ่นดินไทยไม่รู้ลืม



0 Comments:

Post a Comment

<< Home