Tuesday, January 17, 2006

ย่ำแดนมังกร(1)

บรรพบุรุษของคนจีนในสยามล้วนแล้วแต่หอบเสื่อผืนหมอนใบมาจากแผ่นดินจีนทั้งนั้น
ยิ่งดูละคร ลอดลายมังกรแล้วก็ยิ่งเห็นภาพชัด
ที่อพยพมาก็เพราะความลำบากยากแค้นและสงครามกับญี่ปุ่น

ในชีวิตก็ไม่เคยนึกว่าจะได้มาเมืองจีน แต่ก็เพราะโชคดี ที่หนึ่งคือ ดิสนีย์แลนด์เปิดใหม่ ที่สองคือ ไม่มีใครไปเป็นเพื่อนพี่สาว
ก็เลยต้องเก็บกระเป๋านั่งเครื่องไปเมืองจีน







ไปเมืองจีนเดี๋ยวนี้ง่ายมากเลยครับ แค่ยกหูโทรศัพท์โทรหาบริษัททัวร์ที่คุณไว้ใจ จากนั้นโอนเงิน แล้วก็เอาพาสปอร์ตให้เค้าไปทำวีซ่า

จากกรณีผม เลือกที่จะใช้บริการของบริษัททัวร์ที่เคยไปเมืองจีนเมื่อรอบที่แล้ว ความรู้ใหม่ก็คือ พวกทัวร์เค้าจะมีพันธมิตร คือถ้าไม่จัดเอง ก็จะเอาพวกเราไปรวมกับทัวร์อื่นๆให้
โปรแกรมที่ไปงวดนี้เป็น เซินเจิ้น-ฮ่องกง สวรรค์นักช้อป และดิสนีย์แลนด์

ด้วยความที่พี่สาวผมเธอเห่อมากบวกกับคุณแม่ที่ยังติดใจการช้อปปิ้งที่เซินเจิ้น ก็จดรายการมาเป็นหางว่าวให้ไปซื้อนั่นซื้อนี่มา แล้วก็ไปแลกดอลล่าร์มาเก็บไว้เพื่อเอาไปซื้อทองที่ฮ่องกง

จากนั้นก็โทรหาญาติที่อยู่เมืองจีนว่าอากาศเป็นยังไง

ยังไม่ขึ้นเครื่องก็วุนวายแล้วววววว

ติดตามตอนที่ 2 ครับ

Friday, January 13, 2006

วังวนแห่งการโยนโบล์


โครม!!!!!
เสียงพินแตกกระจายมันเพราะจริงๆ
แต่ถ้าไม่ใช้ฝีมือรออาศัยลูกฟลุคอย่างเดียว คุณก็อาจจะไม่ได้ยินมันบ่อยนัก

ผมเข้าไปหลงใน vicious cycle of Bowling เมื่อประมาณ 3 เดือนมาแล้ว
แน่นอน...ครั้งแรกไม่ใช่ครั้งที่ดีสุดแน่ๆ แต่ก็เป็นการจุดประกายให้ผมหันมาเล่นกีฬา นอกเหนือไปจากแบดมินตัน ซึ่งตั้งแต่ซื้อไม้แบดใหม่มายังไม่เคยได้ไปตีที่คอร์ดจริงๆเลยซักครั้ง มีก็แต่ไปคอร์ท แล้วคอร์ทเต็ม ก็เลยต้องไปโยนโบลว์แทน (เป็นงั้นไป)


โยนโบวล์ทีไร อวัยวะที่จะไปก่อนเพื่อนก็คือ นิ้วโป้ง ไม่ว่าคุณจะตัดเล็บแล้วหรือไม่ก็ตาม แต่ด้วยนิ้วโป้ง ต้องเกร็งและบังคับทิศทางของลูกให้ตรงไปเข้า pocket ย่อมเสียงต่อการบาดเจ็บ ครั้งแรกที่เล่นด้วยความไม่รู้ปนไม่ระวัง ก็เล่นเอาเล็บฉีก เสียเลือดไปหลายหยด

แต่ก็คงไม่ทำให้คนโยน เข็ดไปหรอกนะ พอแผลหายก็จะคัมแบ๊คกลับมาโยนใหม่ เพราะอยากได้ยินเสียงโครม!!




Wednesday, January 11, 2006

Finished Yet!!

ในที่สุด ก็สอบเสร็จเสียที
เป็นวิชาที่เอาเรื่องทีเดียว
หลายคนที่รู้ตัว ก็ถอนกันไป ก็เหลืออยู่ไม่กี่คนที่ทนสอบ

ได้ฟังเรื่องการสร้างกระเช้าที่ภูกระดึง ก็เซ็งๆ เล็กน้อย
เราไม่ใช่ NGOs หรอกนะ
แต่ว่า นึกภาพไม่ออกว่าภูกระดึง จะเป็นอย่างไร

โดยส่วนตัวน่ะ ภูกระดึงก็แค่นั้น....
ผานกแอ่น ก็แค่ หน้าผา ที่คนไปดูพระอาทิตย์ดวงเดียวกับที่กรุงเทพฯ เหมือนๆกับ ที่ภูชี้ฟ้า แก่งกระจาน ผาแต้ม แล้วก็อีกหลายๆที่ที่คนชอบแห่กันไปดูพระอาทิตย์ขึ้น
ผาหล่มสัก ผาหมากดูก ก็แค่ผาที่ดูพระอาทิตย์ตก..บ้านไม่มีดูกันเหรอ บนสะพานปิ่นเกล้าก็ดูได้

แต่ส่วนสำคัญคือ....การที่กว่าจะเป็น ผู้พิชิตภูกระดึงต่างหากเล่า
กว่าจะผ่าน ซำแฮก ซำกกกอก ซำ......some....
หรือ 2 กิโลเมตรสุดท้ายก่อนถึง หลังแป....
จะสนุกอะไรล่ะครับ ถ้าขึ้นไปแบบสบายๆ
ไม่พร้อมก็อย่าขึ้นสิครับ ไม่เจียมตัวเลยหรือ.....

แล้วเมื่อไรจะได้ไปอีกล่ะเนี่ย

Thursday, January 05, 2006

ปีหม่แล้ว

ปีหนึ่งๆ ผ่านไปเร็วจัง
ยอมรับว่าขี้เกียจมาก
ขี้เกียจอ่านหนังสือ....แต่ก็จำใจอ่าน
ทำไงได้ หลวมตัวมาขนาดนี้แล้ว

ปีใหม่ มีอะไรใหม่ๆ มามากมาย
การบ้าน Econometric ฉบับใหม่
...
....
และ
กาน้ำชาใหม่
แม่ซื้อมาใหม่...เป็นการ stainless
จริงๆไปเห็นกาน้ำชาของแม่ที่แถมมาจาก แบรนด์ซุปไก่ แล้วมันใหญ่ดี ก็เลยถามแม่ว่า มีอีกมั๊ย
แม่ก็บอกว่าไม่มี.....คืออยากได้เพราะว่ามันใหญ่ดี
ที่ว่าใหญ่ดี ไม่ใช่เพราะ more is better than less อย่างเดียว
แต่ว่า เวลาชงชาเนี่ย เราก็ใส่ใบชาไปประมาณหยิบมือนึง
ถ้าเป็นกาเล็กๆ น้ำชาก็จะเข้มข้น
เป็นกาใหญ่ นอกจะจุน้ำได้มากแล้ว ก็ไม่ต้องเสียเวลามากดน้ำร้อนใหม่แล้ว
ที่สำคัญชาก็ไม่เข้มมาก
กินน้ำชาเข้มมากนอกจากจะทำให้ท้องผูก ฟันเหลือง ยังไม่นอนหลับอีกต่างหาก
ไม่เชื่อลองชงชาขมแล้วกินร้อนๆตอน 2-3 ทุ่มสิ
คืนนั้นอยุ่ถึงตี 4-5 สบายไปเลย

ไปเมืองจีนเค้าก็กินชานะ
กินเป็นน้ำนั่นแหละ
แต่รสชาที่จีนออกจะไม่ถูกปากเราเท่าไร
อย่างชา ฮุ่หลง ชิมแล้วก็งั้นๆ
ขมแบบ ขมอะ จะบอกว่าไงดี
มันไมได้รสชาติของชา

ชาที่กินอยู่ มี2 อย่าง เป็นชาตราสามม้าเบอร์ 1 หาได้ทั่วไป ชาจะหอมกว่าเบอร์ 3 แล้วก็แพงกว่านิดหน่อย
อีกอันเป็นชามะลิ....ไม่ใช่ใบชาอบมะลิ แต่เป็นชาดอกมะลิเลย.....เป็นชาเขียว
เวลากินก็จะเอามาผสมกัน แล้วมันจะหอมกลิ่มมะลิด้วย
กินกับขนมปัง ตราอาร์เซนอล(ไม่ใช่แฟนปืนใหญ่นะ) แต่ว่าอร่อยกว่า อิมพีเรียลแหละ
กินชาแล้ว ต้องกินส้มด้วย จะได้ระบายครับ
ใครชอบกินชาก็ลองมาคุยกันได้