Tuesday, May 30, 2006

HK Disney Series - - ถึงซักทีพี่น้องครับ(7)

ก็กว่าจะมาถึงได้ คิดดูดิ เดินทางตั้งแต่ตะวันยังไม่ตกดิน นี่มืดแล้ว เป็นเวลาท้องถิ่นก็ 4 ทุ่มแล้วครับ แต่ขอโทษเหอะ ยังไปไม่พ้น เขตของรถไฟเลย

ว่าแล้วก็ต้องไปตรวจคนเข้าเมืองอีกแล้ว ที่ตอ้งตรวจอีกก็เพราะว่า เมื่อกี้เรามาจาก HK มาถึง ShenZhen ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษของจีน อย่าว่าแต่เราเลยครับ ต่อให้คุณเป็น HK citizen หรือ เป็นอาตี๋หมวยถือพาสปอร์ตจีน ถ้าคุณไม่ได้เอาพาสปอร์ต มาอย่าหวังว่าจะได้เข้า ShenZhen

ต่อแถวนี่ก็นานมากตามระเบียบ แถมยังต้องมากรอกอะไรนิดหน่อยอีก ข้างๆนี่ก็มีกรุ๊ปทัวร์จากไท่กั๋ว เหมือนกัน แต่เป็น อากง แก่ๆ แล้ว...ยังจะถ่อสังขารมาเที่ยวอีก เท่าที่ดูหน้าตา สองชาตินี้แทบจะแยกกันไม่ออกทีเดียว ว่าใครเจ๊กแผ่นดินใหญ่ ใครเป็น เจ๊กจากไท่กั๋ว

รอประมาณ 1 ชม. ครับ ตอนนี้ก็เกือบ ห้าทุ่มแล้ว ไกด์สาวซาซ่า ก็โบกมือลา ไม่ข้ามมาฝั่งนี้ เรื่องของเรื่องคือเธอ ไม่ได้หนีบพาสปอร์ตมา เธอก็เลยส่งมอบกรุ๊ปเราให้กับไกด์อีกคน ชื่อเป็นภาษาไทยว่า ศิลป์ จริงๆแล้วเค้าชื่ออย่างอื่นหรอก แต่ว่าหน้าตาเหมือนเพื่อนตอนมอหก ชื่อนี้แหละ เลยเรียกชื่อนี้แล้วกัน

พี่ศิลป์ นี่ออกจะมีอายุซักหน่อย แล้ว เมียแกก็มาด้วย ท้องโต ครับ มารับพวกเราไปรับประทานอาหารเย็น ที่ภัตตาคาร โรงแรมที่จะไปพัก ชื่อว่า Best Westen ShenZhen ก็ใกล้กับสถานี Lo Wu เลย แค่ข้ามสะพานลอย



แทรกนิดนึง ...ครั้งที่แล้วที่มา เซินเจิ้นก็มาลงรถ หน้าโรงแรมนี้ แล้วก็กินข้าวที่ภัตตาคารข้างๆโรงแรมนี้แหละ ตอนเดินข้ามสะพานลอย ก็สงสัยว่าเค้าจะมี ทางลาดคั่นระหว่างกลางด้วย ก็สงสัยมากว่าใช้ทำอะไร ไกด์บอกว่า ไว้ให้เราเข็นกระเป๋า

มาถึงบางอ้อ ตอนนี้แหละ ว่าใช้ทำอะไร ก็ลากกระเป๋าลงบันไดสะพานลอย สะพานลอย ของเมืองจีน นี่ทั้งสูงทั้งชัน โหดร้ายมาก กระเป๋ามันจะไปก่อนคนตามแรงโน้มถ่วงของโลก จะทำเราหัวทิ่มไปด้วย ต้องค่อยๆเดินลง อะนะ

กว่าจะเดินลงกันครบ เฮ้อ เกือบตายเป็นผี

ตอนนั้นนี่หิวข้าวมากๆเลย ก็นึกในใจว่า สงสัยพามากินร้านเดิมแหง ก็จริงดังว่า แต่ร้านน่ะ ล็อคกุญแจ เรียบร้อยไปแล้ว แต่ไฟยังเปิดอยู่ ตาศิลป์ แกก็ใจเย็นมากเลยน่ะครับ ค่อยๆบรรจงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วโทรเข้าไปในร้าน พูดอะไรกันครู่นึง แล้วก็มีคนมาเปิดประตู ก็บ๊งเบ๊งใส่กันซักพักนึง แล้วเราก็เข้าไปในภัตตาคาร

เป็นร้านเดิมที่เคยมากินเมื่อครั้งที่แล้ว แต่ว่าทีนี้เข้าทางด้านหน้าร้าน ถ้าเข้าไปทางหลังร้านก็จะเจอกัน เต่า ตะพาบ นกยูง แมว ตัวนิ่ม..ขังไว้ เอาไว้ให้ลูกค้ามากินน่ะครับ

แต่เราคงไม่มีบุญได้กินแมวแน่ อาหารที่อยู๋บนโต๊ะ มีมากมาย แต่ดูแล้วมันเย็นชืด พิกล แต่หิวแล้วทำไงได้ ผมโดนจัดให้นั่งกับ 5 สาวจากเพชรบูรณ์ they are enjoyfully eating. แต่กินไม่ค่อยลงหรอก ซักพักนึง มีญาติของอาอี๊ ที่มาจากนครสวรรค์มาจาก กวางเจา

คนนี้มา ไม่จับหลานสาวตัวเองเลย กอดแต่หลานชาย...คนจีนเนี่ยน้า...แล้วแกก็มารับ อาอี๊ คนที่ใส่เสื้อสีชมพูในรูปตอนที่แล้ว ไปนอนกวางเจา เดี๋ยวพรุ่งนี้มาส่ง

กินข้าวอิ่มแล้ว ก็เป็นเวลาเกือบจาเที่ยงคืนแล้วครับ

หมดไป 1 วัน ที่ต้องเดินทางข้ามประเทศ ทั้งขึ้นรถ เครื่องบิน เดิน ครบเลย

พรุ่งนี้ ต้องตื่น 7 โมงด้วย เพื่อไปลุย Lo Wu Center หรือที่ได้ สมญานามว่า มาบุญครองเซินเจิ้น

โปรดติดตามอ่านด้วยใจระทึก

Monday, May 08, 2006

จาก Hung Hom ถึง Lo Wu

ความเดิมตอนที่แล้ว ที่ออกจาก Chek Lap Kok ข้าม Tsing Ma แล้วก็อุโมงค์
คราวนี้ เราก็ถึงฝั่ง Kow Loon แล้ว
คงจะคุ้นชื่อ ของ เกาลูน เป็นอย่างดี เมืองไทยเอามาตั้งเป็นชื่อลูกชิ้นไปแล้ว
เกาลูน เป็นภาษา กวางตุ้ง แปลว่า มังกรเก้าตัว ครับ ฝั่งเกาลูนนี่ก็เจริญมาก โดยเฉพาะ แหล่งชอปปิ้ง อย่าง
ซิมซาจุ่ย ก็ประมาณแถบ สยาม บ้านเรา
แล้วก็มี เหย่าหม่าเต๋ย..
เอาไว้จามาเล่าในช่วงท้ายๆ

ตอนนี้รถโค้ช ก็พามาที่ สถานีรถไฟ Hung Hom (ฮังฮอม)

เป็นสถานีรถไฟใหญ่มาก....รถเราไปจอดด้านข้างๆ ของสถานี

สังเกตในรูปจะเป็น หลังคา สี่เหลี่ยมๆ เป็นเหมือน Hall ก่อนจะลงรถเราก็สังเกตแล้วว่า ทำไมวันนี้ คนมันเยอะจังวะ เยอะมากๆๆๆ

สังเกตดีๆ อ๋อ คนฮ่องกง อีมาดูคอนเสิร์ต นี่เอง ไม่รุว่าใครมาเปิดการแสดง คงไม่ใช่ ไชยา มิตรชัย หรอกมั้ง

ตอนนี้สองทุ่มแล้ว....โอ้ว...ลากกระเป๋าข้ามถนนมาอย่างทุลักทุเล ไม่ต้องหวังว่าจะช่วยใคร แล้วก็ไม่ต้องหวังว่าใครจะมาช่วยลากกระเป๋า.....เกือบโดนรถฮ่องกงเหยียบน่ะ...

แล้ว เจ๊ซาซ่า ก็ไปซื้อบัตรโดยสารให้เรา...ก็เป็นเหมือนกับบัตรรถใต้ดินบ้านเราแหละ..

นึกว่าจะสบาย ยัง...เนื่องจากกระเป๋าใหญ่ควายมาก จะผ่านประตูแบบหนีบๆ ไปได้ยังไงล่ะหว่า....ที่ไปด้วยกันจำมะได้แล้วว่าใคร...โดนประตูหนีบ..เพราะว่าเดินช้า...เวง

เดินลงมาที่ชานชลาซึ่งก็อยู่ลงไปใต้ดิน 3 ชั้น....สังเกตเห็นว่าเราจาไป Lo Wu แล้วทำไมแม่ไกด์สาวดันพาเราเดินไปอีกทาง...ไม่อยากแย้งวุ้ย...อาจจะเป็นทางลัดก็ได้..เราก็เลยมายืนรออยู่ฝั่งตรงข้าม.ของชานชบาที่เราจะต้องไปยืนรอจริงๆ

แล้วก็ไปยืนรอ....ที่ชานชลานั่น

1 นาที รถไฟมา แต่ ไม่ไป Lo Wu ...

แม่ไกด์สาวเริ่มสำเหนียกถึงความผิดปกติ....คงผิดกลิ่นพิกล....

เลยแก้เกี้ยวว่า..."สงสัยวันนี้เค้าย้ายฝั่ง"...ขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่

แล้วเราก็ต้องขนสัมภาระ...เดินข้ามไปอีกฝั่งนึง...แม่เจ้ากระเป๋าหมาก..

ด้วยความที่เรามาช้าไป คนก็ต่อแถวรออยู่แล้ว

ไกด์บอกว่า ให้ไปที่ขบวนหน้าๆ ไม่ค่อยมีคน

รถไฟแล่นมา ผ่านหน้าไปฉิว

ช่างหน้าอัศจรรย์ ไม่มีคนเลย โล่งว่างตลอด

แต่พอขบวนที่มาหยุดตรงหน้า....เอ่อ...กลับบ้านปีใหม่กันเหรอครับ.

ยังไงก็ต้องขึ้นแหละ แล้วก็ตามฟอร์ม ให้เด็กๆเค้านั่งกันก่อน....

สองคนเลยต้องยืนเกาะประตู ....

สังเกตพวกที่นั่งมาในรถขบวนนี้ก็เป็นวัยรุ่น ซะส่วนมาก หาอาม่า ยากเต็มที

แต่งตัวแบบ วัยรุ่น บ้านเรา เป็นแบบ J นิดๆ บางคนยังใส่เครื่องแบบนักเรียนอยู่ เค้าก็มองมาที่พวกเราแล้วก็กระซิบกระซาบกัน ฟังไม่ออกหรอก..ภาษากวางตุ้ง...แต่ถึงพูดจีนกลางก็ฟังไม่ออกอยู่ดี

รถไฟวิ่งขึ้นจากใต้ดิน ขึ้นมาบนดิน...ว้าว...มองอะไรนอกหน้าต่างไม่เห็นเลย...เพราะว่ามันมีแผงคอนกรีตกั้นกันเสียงเอาไว้ มืดสนิทมาก...วัยรุ่นเซ็ง

เลยต้องดู AD ในรถ ซึ่งเค้ามีจอฉายไว้...มีโฆษณาตั้งแต่ขายยา จนถึงของใช้

แล้วก็ตัดข่าวมาให้ดู เป็นข่าวไฟไหม้

ดูซ้ำไปซ้ำมา จนเบื่อ

สถานีที่ขึ้น Hung Hom เป็นสถานีต้นทาง สถานีที่ สอง แต่ Lo Wu (อ่านว่า หลอหวู่) เป็นสถานีสุดท้ายยยย

ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง ไกลชะมัดยาด

พอมาถึงสถานี ที่เป็นจุดเชื่อม แบบ สยาม

คนก็ทยอยลงกันบานเลยยยย เราก็เลยได้เก้าอี้นั่งซักที สวรรค์โปรดดดดดด

ก็นั่งตรงข้ามกับกลุ่มที่มาจากนครสวรรค์ ข้างล่างนี่

ก็เลยได้นั่งคุยกัน..

คนซ้ายสุด ชื่อว่า เจ๊สุ่ย อัธยาศัยดีมาก ซักผมกับพี่เป็นการใหญ่เรียนที่ไหน ...อะไรยังไง

แล้วแกก็บอกว่า ตอนแรก นึกว่าผมเป็นคนจีน...พาแฟนเป็นคนไทยไปเที่ยว..เว้ย คิดไปได้

ก็คุยกันอยู่นาน...โอ้ว...ท้องเริ่มหิว แล้วสิ ตอนนี้ 3 ทุ่มกว่าแล้ว

ถึง Lo Wu ชายแดนฮ่องกงซักที......โอ้ว

ต้องไปผ่านพิธีตรวจคนเข้าเมืองอีกแล้วววววว

Saturday, May 06, 2006

Tsing Ma (5)

ก็ด้วยความรวดเร็ว
พอพบกับไกด์สาวแล้ว....เธอก็แนะนำตัวให้พวกเราว่าเธอชื่อ "ซาซ่า" (โอ๊ะ มาอยู่ฮ่องกง นี่เลยเปลี่ยนเป็นฝาหรั่งเลย)
เธอไฮไลต์ผมซะทองสลับน้ำตาล...
แล้วก็เดินฉับๆๆๆๆๆๆๆๆๆ เรียกว่า สับขา ก็ว่าได้ มูลเหตุก็เพราะว่า ตอนนี้มัน จะทุ่มนึงแล้วไงพี่น้อง...หล่อนยังจะต้องส่งพวกเราไปเซินเจิ้น แล้วยังจาต้องกลับมารับทัวร์อื่นอีก ในเวลา 4 ทุ่ม...คงทันหรอกเจ๊

หล่อนก็เดินนำพวกผม...ผมกับพี่สาว.ก็ติดตามอย่ากระชั้นชิด.... ผมมีเป้ 1 ใบ กับกระเป๋าเสื้อผ้าล้อลาก 1 อัน ...พี่ผมก็เหมือนกัน เลยเดินฉิวๆ สบายๆ
ในขณะที่ด้านหลังทั้ง อาอึ้ม คุณตา ..ทั้ง group A,C,D รั้งท้ายมากๆ (โปรดดูใน ตอนที่ 2 ว่าใครเป็นใคร)
ในขณะที่น้าผกา กับสามี....หอบกระเป๋ายังกะจะย้ายบ้าน........
ทำไมมันไกลอย่างนี้วะ .....แต่พอมาทบทวนดูแล้ว มันก็ไม่ไกลเท่าไหร่ สนามบินมันกว้างน่ะ ช่วยไม่ได้ ...
เดินกันขาลากเลยทีเดียว

แล้วก้มาถึงรถโค้ช มาจอดรถเราได้นานแล้ว.........
ป้าจาก group A เริ่มแผลงฤทธิ์ แกสั่ง เด็กตัวน้อย

"รีบวิ่งไปจองที่นั่งข้างหน้าเลยไปลูก เอากระเป๋าไปจองเลย"
for what??? นั่งหน้าสุด นี่แบบตายเร็วกว่านะป้า...

ผมก็ไม่สนใจครับ เดินไปนั่งตรงกลางๆ นั่งด้านหลังน้าผกา
เวลาตอนนี้ 19.15 ตามเวลาท้องถิ่น ยังไม่หิวเท่าไร...ท้องฟ้าของฮ่องกงมันก็เหมือนบ้านเราแหละ มืดซะหน่อยละ

ออกมาจากสนามบินแล้ว...ตรงไปฝั่งเกาลูน....
เห็นท่าว่าจะงง ดูแผนที่ดีกว่านะ

เจ้าสนามบิน นี่อยู่ตรงเกาะ LanTau เกาะลันเตา ....ไอ้ในแผนที่มันเป็นสนามบินเก่าน่ะ. รถก็จะวิ่งพาเราข้ามทะเล.....

ว้าว...น่า มหัศจรรย์ป่าว

ตอนเด็กน่ะ เวลารถผ่านสะพานพระรามเก้า...สะพานแขวนครั้งแรก ผมยังตื่นเต้นเลยยยย....กว่าจะข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาไปได้...นานจัง

แต่ฮ่องกง ต้องข้าม สองที คือข้ามจาก เกาะลันเตาไป ฮ่องกง แล้วต้องข้ามจากฮ่องกง ไปฝั่งเกาลูน...

จากเกาะลันเตา ไป เกาะฮ่องกง ข้ามสะพานชื่อว่า....Tsing Ma

ถ้าเป็นภาษากวางตุ้งจะอ่านว่า (กรุณาอ่านตามอย่างเคร่งครัด) = เช่ง-หมา-ต่าย-ขิ่ว แปลว่าสะพานเช่งหมาอันยิ่งใหญ่

ถ้าเป็นจีนกลางจะออกเสียงว่า ชิงหม่าต้าเฉียว แปลเหมือนกัน

ไอ้สะพานด้านล่างนี่แหละ


เป็นสะพานข้ามทะเลยาวที่สุดในโลก....เชิดหน้าชูตาคนฮ่องกงเลย ผมก็ไปซื้อเสื้อสกรีนลายสะพานนี่ด้วย....แต่ว่ายังไม่ได้เอามาใส่เลย ปลวกแทะแล้วมั้ง ถ้าไปฮ่องกงยังไง ก็ต้องได้ข้ามสะพานนี้ครับ จำชื่อไว้ดีๆนะครับ เช่ง-หมา-ต่าย-ขิ่ว

กว่าจะข้ามไอ้สะพานนี่มาได้ก็นานครับ มันยาวตั้งหลายกิโล...ดีนะที่ไม่มีเคล็ดว่า จะต้องกลั้นหายใจเวลาข้ามสะพานเหมือนข้ามแม่น้ำบางปะกง

จากเช่งหมา ก็มาสู่เกาะฮ่องกง สวยมาก....เมืองจีนนี่อะไรๆก็ใหญ่ไปหมด....

ท่าเรือ นี่คลองเตย เหงาไปเลย....เพราะว่าของเค้าใหญ่มากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก

จากฮ่องกง...ก็จะข้ามไปฝั่งเกาลูน คราวนี้ไกด์บอกว่า ไม่มีสะพานให้ข้าม ครับ.....ใช้วิธีลอดอุโมงค์ ไปโผล่อีกฝั่ง

ว้าว อะเมซิ่งจิงกาเบล อีกแล้ว....เมืองไทยไม่มี ก็ไม่รุ้จะทำไปโผล่ที่ไหน.....

ในอุโมงค์ที่ห้ามแซงครับ....แต่จะแซงก็แซงได้ เค้าไม่มีจ่ามาคอยดัก แต่ว่าจะมีกล้อง CCTV จับภาพ จับทะเบียนรถไว้ แล้วก็ส่งไปปรับตอนต่อทะเบียน ซีดเลย ได้ข่าวว่าโหดมาก ตกเป็นเงินไทยก็เป็นหมื่น......มิน่า ขับกันเรียบร้อย...เชียว

พอลอดอุโมงค์เสร็จ ซาซ่า she ก็ให้เหลียวไปมองข้างหลัง.....เรามุดออกจากทะเล ....สุดยอดจริงๆๆๆ

โปรแกรมข้างหน้า คือ ต้องไปขึ้นรถไฟ ที่สถานี Hung Hom อ่านว่า ฮังฮอม...

ติดตามครับ

Wednesday, May 03, 2006

ถึงฮ่องกงแล้ว(4)


ครับ...มาติดตามอ่านต่อนะ

หลังจากที่ขึ้นเครื่องแล้ว...ตื่นเต้นกับของเล่นอยู่พักใหญ่ นอกจากจะมีเกมส์ให้เล่น ยังมีกล้องที่ติดอยู่กับตัวเครื่องบิน ก็ทำให้เรามองเห็นรันเวย์ได้สบายๆ เพราะว่ากล้องติดกับท้องเครื่องบิน
ทีนี้ก็คงได้เวลาแล้ว เครื่องก็ค่อยๆ Taxi เข้ารันเวย์ แบบก็ take off ออกไป...ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไร...แถมไม่ได้นั่งติดหน้าต่าง ก็เลยนั่งดูกล้องเล่นๆ


ประเทศไทย นี่ระบบผังเมือง ไม่ไหวเลย ...ไม่เป็นระเบียบเลย

พอเครื่องอยู่ตัวแล้ว...คราวนี้เริ่มมองหา แอร์ฯแล้วครับ ไม่ใช่ ชีกอ นะ แต่ว่าหิวครับ..เพราะว่า กินข้าวเช้าเป็น เบอร์เกอร์คิง ..นิดเดียวตอนนี้ก็ บ่ายสามแล้ว.เริ่มจะได้กลิ่นของอาหารแล้ว..
เมนูบอกว่า.มีสองอย่าง เป็นข้าวกับปลาทอดอีกอย่างเป็นข้าวกับไก่ทอด...แล้วก็มีของหวานเป็นวุ้นลำไย
เห็นเมนูแล้ว น้ำย่อย ก็เริ่มไหล..เริ่มร้องแล้วแต่ว่าเค้าก็เอาของเด็กมาเสิร์ฟก่อน..เป็นกล่องสี่เหลี่ยมอยากได้มั่ง แต่ก็เสียใจ...
กว่าข้าวจะมาเสิร์ฟ เพราะว่าเรานั่งตอนท้ายๆเครื่องบินแล้วนั่งท้ายๆไม่ดีเท่าไร นอกจากจะได้กินช้าแล้ว ยังเวียนหัวเวลาเครื่องบินมันเลี้ยวอีก.แต่ทำไงล่ะ ..
สุดท้าย แอร์ฯซึ่งตอนนี้ถอดหมวกแล้ว เข็น cart มา ปรากฎว่า ข้าวหมดพอดี เวร...ต้องรออีกแวบนึง..เซ็งชิบหาย...แอร์ฯเป็นคนไทย..สบายๆ ไม่ต้องพูดภาษามือกัน..
สุดท้าย ผมกินเลยกินข้าวปลาทอด ส่วนพี่สั่งข้าวไก่ทอดเหม็นครับ...เหม็นพริกยักษ์อะ ...แต่อารามด้วยความหิว ก็เลยกินเกือบหมดจานเลยแล้วก็ขนมปัง แล้วก็ของหวาน ตบท้ายด้วย ชา...สบาย อิ่มแปล้เลย...
ส่วนข้างๆที่นั่งติดกัน น้าผกา ก็กินซะเรียบเหมือนกัน สงสัยก็คงหิวเหมือนกันล่ะมั้ง555

รู้สึกว่าไปฮ่องกงนี่มันนานกว่าไปกวางเจาอีกนาครับ ทั้งๆมันน่าจะถึงก่อน...
พอกินอิ่มแล้ว เข้าใจว่าคงจะผ่านเวียดนามมานานแล้วแหละ เครื่องบินก็เริ่มลดระดับลงมาแล้ว..แล้วสามีหน้าผกา ที่เป็นทหาร แกก็ควักเครื่องมือชนิดนึงขึ้นมา....หะแรกนึกว่า walky talky ที่ไหนได้ กลายเป็น เครื่อง GPS ยังอุตส่าห์แบกมาอีกแล้วแกก็รายงานว่า ตอนนี้อยู่เราเกือบถึงฮ่องกงแล้ว...โหรู้ขนาดนั้นเลย
ซักครู่เครื่องบินก็เลี้ยว...ผมก็เริ่มปวดหู...น้าผกาแกเลยบอกว่า ให้กลืนน้ำลายแรงๆดิ..(มันจาช่วยได้รื้อ)แล้วก็บอกอีกว่า...ถ้าขึ้นบ่อยก็จะไม่เป็น..อ่าว..แล้วกัน
สุดท้ายเครื่องก็ลดระดับ...อย่างวูบวาบ ...ของเก่าเกือบออกมาแหนะ...มันวูบๆๆ
แล้วก็เครื่องแตะรันเวย์ นิ่มพอดู

ตอนนี้ที่ ฮ่องกง สนามบินนานาชาติ "เชคแลพก๊อก"..เวลา 6 โมงกว่าแล้ว มืดเลย..อากาศร้อนกว่าที่คิดไว้อีก...เหมือนเดิมเล่ย แย่งกันลงอีกแล้ว....แต่คราวนี้ควรรีบเพราะว่าปวดฉี่มากไม่สนใจอะไรแล้ว...ผมก็คว้ากระเป๋าเป้ได้ ก็รีบจ้ำเดินลงมาเลย
แต่ว่า เฮียเรืองสิทธิ์ หัวหน้าทัวร์บอกว่าอย่าเพิ่งรีบเดิน เพราะว่าสนามบินมันกว้าง เดี๋ยวจาหลงนะแต่กรูปวดเยี่ยวนี่นา...ทำไมไม่จัดการตั้งแต่บอนเครื่องล่ะ-- ก็ยังไม่ปวดนี่หว่า.

เดินเข้ามา..สนามบินใหม่ทันสมัยงามตากว่า ดอนเมืองเยอะแยะแต่ว่า ตำรวจที่นี่ถ้าทางจะดุ เพราะว่าอยู่ก็เอา กระเป๋าเอกสารเครื่องมืออุปกรณ์ทำกินมากางออก แล้วก็จับชาวผิวดำตรวจเลย..ตรวจตรงนั้นแหละ ไม่ต้องรอไปถึงตม. หรอก
หัวหน้าทัวร์บอกว่า ตำรวจที่นี่ทำงานแบบเชิงรุก...ไม่ต้องมารอ ..เพราะว่าพวกคนดำนี่ชอบพกยาเสพติด
แล้วเราก็มารวมพลกันอยู่หน้าห้องน้ำ....นานทีเดียว...รอให้มาให้ครบ..แล้วก็รอทำธุระให้เสร็จกว่าจะครบกันได้ก็ล่อไปเกือบครึ่ง ชม.แล้วแล้วก็เดินต่อไป ตม. ..แม่เว้ย..คนล้านเจ็ด เยอะมาก แถวยาวเป็นวา ผมโดนจับแยกไปแถวใหม่..ดีใจนึกว่าจะเร็ว.ที่ไหนได้โหช้าโคตร..มันจาตรวจอะไรกันนักหนา เจาะเลือดรอฟังผลเหรอเพ่...แถวผมก็มีคนคอยจัดแถว..ประมาณ pretty อายุไม่เกิน 25 หรอก อะ ให้ไปช่องนู่น ช่องนี้

พอถึงคิวผม มองหน้า แล้วก็พูดภาษาอังกฤษ ให้ไปช่องที่ 8 ผมก็บอกว่า Thank you แล้วเค้าก็ขำก๊ากเลยไม่รุ้ว่าตลกอะไร ..นึกไม่ออกตม.ที่นี่ มีกล้องด้วย...มองหน้าเราแล้วมองหน้าเราอีก...หน้าไม่เหมือนรึไง แล้วก็ถามว่า ..มากี่วัน...ได้ใช้ภาษาอังกฤษแล้ววุ้ย"three days"
แล้วตานั่นก็ปล่อยตัวไป...ปรากฎว่าเราเสร็จเป็นคนสุดท้ายเลย..แม่เจ้า..แต่เสร็จเร็วก็เท่านั้น เพราะว่ายังต้องมารอกระเป๋าเหมือนกันแหละ 555พอได้กระเป๋าเรียบร้อยแล้ว...เดินออกมาช่องผู้โดยสารขาเข้า...เจอกับไกด์สาว...พูดไทยปร๋อเลยพูดกับพี่เป็นภาษาจีนไหหลำว่า เห้ย..อีเป็งคนไทยหรือว่าคนจีน แล้วพูดไทยวะ..(งวดที่แล้วไกด์ก็พูดไทยปร๋อเลย แต่เป็นคนจีน)พี่ก็เลยบอกว่า..มรึงดูผิวมันดิ ขาวเหมือนคนจีนรึป่าวล่ะ...เออจริง ก็คงเป็นคนไทยแหละ


คุณเรืองสิทธิ์



..กำลังจาผจญภัยแล้ว โปรดติดตาม