Wednesday, October 24, 2007

ใครว่าโลกร้อน ตอนที่ 3

ผมว่างเว้นจากการเขียนเรื่องไปเที่ยวปายมานานโข นานจนกว่าขวบปีแล้ว
พอดีได้กลิ่นอากาศหนาว ย่างกรายมาสู่กรุงเทพ ต่อมอยากของผมก็เป่งบวม ให้ต้องรีบมาเขียนblog ก่อนที่ความอยากจะมลายหายไป เหมือนกับ thesis (เอ๊ะ!! ยังไง)

ความเดิมเมื่อ สองตอนครึ่งที่แล้ว
ผมและคณะ อันประกอบด้วย โจ้ ฮั้ว แพนดอร่า ลอตโต้ และเน็ตโตะ ออกเดินทางจากหมอชิต ไปลงที่เชียงใหม่ จากนั้นก็ต่อรถไปอ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน

รถตู้พาเรามาถึง ท่ารถอ.ปายแล้ว แล้วเราทั้งหก ก็เอาของไปฝากไว้ที่ หลับฝันดี เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องแบกอะไรไปมาก เพราะว่าคืนนี้เราจะนอนที่ห้วยน้ำดังกัน

เป้าหมายของพวกเราคือ ต้องไปว่าจ้างรถเพื่อจะไป ห้วยน้ำดัง แล้วก็ต้องจ้างให้รถมารับเราในวันรุ่งขึ้นด้วย ปฏิบัติการหาเหยื่อ เอ้ย หารถของพวกเราก็เริ่มขึ้น

เราไปตีสนิทกับคนขับรถ ซักคน ที่ท่ารถนั่น สมมติว่าชื่อ "พี่บ่าง" แล้วกัน

พี่บ่าง นี่เป็นคนขับรถแหละ แกก็รถเวลาเพื่อที่รถแกจะออกจากท่าไปส่งคนที่ไหนเราก็ไม่ทราบได้ แต่แกเป็นคนแนะนำให้เรารู้จักกับลุงคนหนึ่ง

พอลุงรู้ว่าเราจะไปห้วยน้ำดัง แกก็อยากจะรับงานนี้แหละ อย่างว่า คนมันจะได้ตังค์
พวกเราบอกว่า ให้ไปส่งแล้วก็ช่วยไปรับเรากลับมาด้วย (จะให้เดินกลับเหรอวะ) แกก็คิดเรา 1,500 โห โหดแท้

เราก็ขอต่อลงมาหน่อย เราส่ง ฮั้ว ไปเจรจา เผื่อว่าลุงแกจะใจอ่อน แต่ๆๆๆ
เหนือลุง ยังมีพี่บ่าง พี่แกไม่ได้เกาะกิ่งไม้ แต่เดินมาสองขา มาบอกกับลุงว่า ลดอีกจะคุ้มเหรอ ไปกลับก็นานนะ แถมยังตีรถเปล่ากลับมาอีกนะลุง Bla Bla

ถึงตอนนี้ นึกถึง คนคนหนึ่งเมื่อสมัยตอนเรียนมัธยมขึ้นมาทันที ให้ตายสิ ก็นิสัยอย่างงี้แหละ เสือกไปซะ ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียเลย

พี่บ่าง ก็ทำหน้าที่ของแกอย่างขมีขมัน ไม่ประหวั่นอันตรายอย่างใด แกก็คงรู้แหละว่าพวกเรามีเส้นดีมานด์ หน้าตาแบบไหน เลยไม่ยอมลดราคาเลย

พวกเราก็หยุดการเจรจาไปพักหนึ่งครับ นัยว่ามาตั้งหลัก ลุงแกก็คงกลัวว่าจะไมได้ตังค์ ก็วนมาถามอีกล่ะว่าจะเอายังไง
พวกเราก็ต่อรองอีกคำหนึ่งคือ 1200 น่านะ

ลุงก็รีบตะครุบสิครับ

เอาล่ะ เป็นว่าพวกเรานัดให้ลุงไปส่ง ที่หัวยน้ำดัง ตอนบ่ายสอง ซึ่งเราคาดว่าจะไปถึงห้วยน้ำดัง ก็ซัก สี่โมงเย็น หลังจากแลกเปลี่ยนเบอร์โทรแล้ว เราก็บ่ายหน้าไปหาเสบียงใส่ท้องและ อาหารสำหรับมื้อเย็นด้วย เพราะว่าข้างบนไม่มีอาหารขายนะ

ร้านที่ไป ก็เป็นร้านขายส้มตำ เรียกว่า ส้มตำหน้าอำเภอเพราะว่า อยู่หน้าอำเภอ
ภาพที่เห็นคือรองเท้าครับ คนเยอะมาก จนผมอดแปลกใจไม่ได้ว่า ร้านอาหารในอ.ปายนี่มันที่เดียวหรืออย่างไร
แต่ยังไง ก็จะลองกินดูว่าอร่อยสมคำเล่าลือหรือไม่ เวลาผ่านไป ผมเหลือบไปเห็นใคร และใคร เดินลงมาจากรถตู้
เป็นบุรุษ และสตรี บุรุษนั้นไซร้หน้าตี๋เป็นหนักหนา ส่วนสตรีนั้นเล่า ก็หน้ามาเป็นฝรั่ง มิได้เป็นมะละกอแต่อย่างใด

ทั้งคู่ และทีมงานของพวกเขา ปรี่มาที่ร้านส้มตำ และเมื่อเห็นกองรองเท้าที่ถอดวางราวกับใครมาเลหลัง ก็ชั่งใจอยู่พักใหญ่ว่าจะกินร้านนนี้ดีรึป่าว

คนในร้าน หยุดกินซักพักนึง แล้วหันหน้ามามุงดู สองมนุษย์นี้ พร้อมกับควักกล้องถ่ายรูป ออกมาถ่าย อย่างไกลๆและออกจะแหยงๆ
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวนี้ไม่อาจจะพ้นสายตาของสตรีผู้นั้นได ้เธอก็กวักมือเรียกให้มาถ่ายใกล้ๆขึ้น ราวกับว่ากล้องมันซูมไม่ได้อย่างงั้นแหละ เธอคงคิดว่าถ่ายไกลจะเห็นรอยตีนกาของเธอไม่ชัดกระมัง

เธอและเขาก็ตัดสินใจ ไปนั่งร้านอื่นแทน เพราะว่าคงขี้เกียจจะรอ แต่ว่า ก็ให้ลูกน้องมาสั่งส้มตำไปกิน ท่าจะอร่อยจริงแฮะ

หมดเวลาชมดาราแล้ว เราก็รอไม่นานเท่าไร ก็ได้เข้าไปนั่งกิน รสชาติก็ถือว่าอร่อยพอควร

== เรื่องดำเนินมาถึงขั้นนี้ก็คงต้องหยุดไว้เท่านนี้ก่อนนะครับ รออ่านตอนที่ 4 ก็แล้วกัน==
นานเหลือเกินกว่าจะถึงห้วยน้ำดัง

Sunday, October 21, 2007

เย้ยยุทธจักร

ฉับพลันที่ กระบี่สุภาพบุรุษ งักปุ๊กคุ้ง จับได้ว่า หลิวเจิ้งฟง ช่วยเหลือให้ที่หลบซ่อนแก่ เค็กเอี้ยง แห่งพรรคตะวันจันทรา

เลือดของชาวยุทธ ฝ่ายธรรมะ ก็พุพลุ่ง หมายมุ่งจะทำลายคร่าหมายเอาชีวา ของ มารร้ายเค็กเอี้ยง แต่ศิษย์เอก อย่าง เล่งฮู้ชง กลับ เป็นสุภาพบุรุษกว่า

ศัตรูมิมีอาวุธในมือ มีหรือจะกล้าเอากระบี่เสียบให้ด่าวดิ้นเยี่ยงนั้น

อธรรมกัยธรรมะ แค่คบหากัน ฉันสหาย เป็นคีตมิตร ของกันและกัน

เสียงกู่เจิง และ ขลุ่ย ของทั้งสองจอมยุทธ มิเป็นสองรองใครในยุทธจักร แต่ใครจะคิดว่าสองคนต่างฝ่าย จะมีจุดประสงค์แค่บรรเลงเพลงเท่านั้น

ชีวิตมนุษย์แสนสั้น แต่เสียงสังคีตนั้นมิรู้หาย



Wednesday, October 17, 2007

ความเหมือนที่แตกต่าง



ผมไปเมืองจีนคราวที่ผ่านมา คือเมื่อ สิงหาคม
ก็พบว่าเมืองจีน เค้ากำลังรณรงค์การเป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิคครับ
ยังลามไปถึง เกาะฮ่องกงด้วย

กีีฬาโอลิมปิคที่ปักกิ่ง ซึ่งจะจัดในทวีปเอเชียเป็นครั้ง่ สอง ต่อจากที่ โซล เกาหลีใต้
ในวันที่ 8 เดือน 8 ปี 08 เลขแปดก็เลยนับว่าเป็นเลขมงคลทั้งของจีน และการแข่งครั้งนี้
แต่จีนคงไม่อยากได้ที่ 8 แน่ๆ

การแข่งขันแต่ละครั้ง ก็มีตัวนำโชค เมื่อก่อนก็คงใช้สัตว์ แต่ว่าพักหลังๆ อย่าง ที่กรีซ ก็เป็นตัวอุบาทว์อะไรก็ไม่รู้

พอมาถึงจีน ก็ไปขุดเอาสัตว์ มาปรับปรุงพันธุ์ กลายเป็นไอ้เจ้าห้าตัว นามกรเรียงต่อกันว่า
Beibei Jingjing HuanHuan YinYin NiNi

อ่านเป็นภาษาไทยได้ว่า เป่ยเป่ย จิงจิง ฮวนฮวน หยินหยิน หนีหนี่ หรือจะแปลว่า

ปักกิ่งยินดีต้อนรับคุณ แหมเท่ทีเดียว

(ไม่เหมือนเมืองไทย จัดซีเกมส์กี่ที ก็เป็นแมว--ไม่ได้คิดอะไรใหม่ๆเลย)


แต่ด้วยบังเอิญ ไปเจอ ภาพข้างล่างนี่เข้า
เลยไม่รู้ว่าใครไปลอกใคร เชิญทัศนา ด้วยอารมณ์ขำแล้วกันนะครับ





Monday, October 08, 2007

แยกแล้วรวม รวมแ้ล้วแยก

เป็นธรรมดาของโลก ที่ สรรพสัตว์สังคม ที่ต้องการรวมกันเป็นกลุ่ม จะแยกกันอยู่บ้าง

หากย้อนประวัติศาสตร์กลับไปในยุคชุนชิว และ จ้านกว๋อ

สมัยที่เหล่าบรรดาฟิวดัล ลอร์ด เรืองอำนาจ

รัฐฉี รัฐฉู่ รัฐเยียน รัฐฉิน รัฐหาน รัฐเว่ย และ รัฐเจ้า

ท้องทุ่งและสายน้ำต่างล้วนอาบกลิ่นคาวเลือดวีรชนผู้เสียสละชีพ เพื่อปกป้องบ้านเมืองในยามที่แว่นแคว้นต่างๆ ช่วงชิงกันเพื่อสนองตัณหาของ บรรดาอ๋องแต่ละแคว้น

จนในที่สุด อ๋องแห่งแคว้นฉิน นาม ฉินสื่อฮวงตี้ หรือ จิ๋นซีฮ่องเต้ อาศัยความเด็ดขาด และโหดเหี้ยม รวบรวมแคว้นเข้าเป็นหนึ่งเดียวได้สำเร็จ แต่ก็ไม่รู้ว่านัับเป็น มหาราช หรือ ทรราช เพราะว่า กว่าจะรวมได้นั้น ต้องมีคนสังเวยชีพไปไม่รู้ว่าเท่าไรต่อเท่าไร

อนิจจัง เมื่อ ฉินสื่อ ก็มิอยู่ค้ำฟ้า แม้จะพยายามหายาอายุวัฒนะ แบบสุดสรรพกำลัง ก็มิอาจต้านทานพระยามัจจุราชได้ ตายไปเป็นผี ตามบรรดานายทหารกล้าที่ไรรออยู่ที่นรกภูมินานแล้ว
ความเสื่อมของ ฉิน เริ่มอุบัติ

แคว้นต่างๆเริ่มกระด้างกระเดื่อง

หลิวปัง หรือ เล่าปัง หรือต่อมาพระนาม พระเจ้าฮั่นเกาจู่ (อย่าผันผิดเชียว--ผมก็เสียว) เอาชนะ เซี่ยงยี่ อดีตเกลอเก่า สถาปนาราชวงศ์ฮั่น ที่มีอายุกว่า 400 ปี จนเสื่อมถอยไปในยุคของโจรโพกผ้าเหลือง ซึ่งเหล่าบรรดาขุนศึกต่างก็มีทหารในมือ ย้อนกลับไปคล้ายกับยุค จ้านกว๋อ อีกครั้ง จนค่อยรวบรวม ต่อตี และเข้าสู่

ยุคสามก๊ก


ยุคสามก๊ก ที่มี โจโฉ มหาอุปราช ผู้ไม่ยอมให้โลกทรยศ
เล่าปี่ พระเจ้าอา ผู้พนมมือแด่ชนทุกชั้น
ซุนกวน ผู้ยิ่งใหญ่แห่งภาคตะวันออก (ไม่ใช่กำนันเป๊าะนะ)

จีนแผ่นดินใหญ่ แตกเป็นเสี่ยงอีกครั้ง

ย้อนกลับมาดูปัจจุบัน
ไทย ผ่านวิกฤตการณ์ความแตกแยก
ปฏิวัติ 2475
รัฐประหาร 2490
รัฐประหาร 2500
14 ตุลา
6 ตุลา
กบฎ
รัฐประหาร 2534
รัฐประหาร 2549

เหล่านักการเมือง เทคโนแครต ทหาร ประชาชนตาดำๆ และกลุ่มผลประโยชน์อีกหลายๆกลุ่ม ที่ผลัดเวียนล้มหายตายจากไป

นายพันหน้าเหลี่ยมรวบรวมเอาปูมาใส่ในข้องเดียวกัน จนกลายเป็นพรรคใหญ่ ที่มีที่ตั้งพรรคตามหลักจุ้ย คือมีแต่น้ำ ข้างหลังนำ้เน่า ข้างหน้าน้ำกาม

รวมกันจนเหลือ 2 พรรคใหญ่

จนกระทั่งถึงมี นายกฯขิงแก่ ซึ่งไ้ด้ประกาศว่า จะเลือกตั้ง 23 ธันวา 2550

นักการเมืองและพรรคการเมือง แตกกระสานซ่านเซ็น ไม่น้อยกว่า 7 พรรค ล่าสุด ประชัย ก็สะบัดก้นหนีจาก ป๋า ไปหามัชฌิมาธิปไตย

สุวัจน์กับพินิจ ก็ไปตั้งพรรคใหม่
หนุ่มมาร์ค ก็เงียบสนิท แม้แต่ศิษย์ก็ยังส่ายหน้า
ปล่อยให้ ป๋าหมัก ตีกะทะ แต่งตัวรอเป็นนายกฯอยู่คนเดียว

กงล้อประวัติศาสตร์หมุนไปเรื่อยๆ

กว่าจีนจะเป็นจีนจนทุกวันนี้ ผ่านเพาะการบ่ม การรวม การแยก การแตก และการนองเลือด กว่า 4000 ปี

ประชาธิปไตยไทยเพิ่งจะแค่ 75 ปี
จะมีวันไหนที่เราจะมารวมได้อีกหรือไม่

อาจจะเป็นวันที่ เขา คนนั้นกลับมาก็เป็นไปได้

Tuesday, October 02, 2007

นิทานเด็ก

ช่วงนี้เด็กๆวัยรุ่น ทำอะไรกันแปลก
อย่างข่าวล่าสุด ก็เรื่อง ที่วัยรุ่นผู้หญิง จากจังหวัดหนึ่ง นิยมไม่สวมกางกางใน --ต่างจาก ไม่นิยมสวมกางเกงใน เพราะว่าจะได้เรียกได้เต็มปากว่า พวก non-pant หรือ anti-pant คล้าย anti-globalization

เรื่องมาแดงเอาเมื่อตอนที่รถล้ม เพราะว่าคนเข้าไปช่วยดันเป็นผู้ชาย เลยไม่กล้าเข้าไป ก็คงจะปล่อยให้นอนพะงาบๆ ไป

เด็กอีกกลุ่มหนึ่งก็ทำตัวกันประหลาด ไม่ใช่เรื่องไม่ชอบใส่อะไร แต่เป็นเรื่อง ชอบเป็นอะไร

ที่โรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง มีหัวหน้าห้องและรองหัวหน้าห้อง สมมตินามตามท้องเรื่อง ว่าห้องหุ่น เพราะว่า ทำอะไรก็ชอบมีหุ่น มีตัวแทน
เพลงประจำห้อง --> ในห้องมีหุ่น bla bla bla เหมือนเพลงประกอบละครเมื่อซักเกือบ 20 ปีที่แล้ว

เด็กในห้อง มีอยู่ไม่กี่คนหรอก ก็เลือก เอาหัวหน้าห้อง สมมตินามอีกแล้วว่า เด็กชายแมว ซึ่งเป็นเด็กต่างจังหวัดมาจาก สันกำแพง ปู๊น เพราะว่า ชอบที่เด็กคนนี้ บอกว่าจะแจกอมยิ้มให้คนละอัน ถ้าเลือกเป็นเด็กชายแมวเป็นหัวหน้าห้อง เด็กๆในห้อง ก็เลือก เด็กชายแมว แบบถล่มทลาย ภาษาอังกฤษเรียกว่า land slide

เด็กชายแมว ซึ่งขี่ควายดำมาด้วย ก็บอกว่า ถ้าผมเป็นหัวหน้าห้อง ห้องหุ่นของเราจะทัดเทียมแข่งกับห้องอื่นๆได้ (สงสัยจะไปแข่งกับ ห้องกุหลาบ กับห้องทานตะวัน)

ว่าแล้วเด็กชายแมว ก็ตั้ง เด็กชายแอด เป็นรองหัวหน้าห้อง มีหน้าที่ควบคุมเด็กๆในห้องไม่ให้วุ่นวาย
กาลเวลผ่านไป เด็กชายแอด เรียนจบ ก็ออกไปบวชเณร
เด็กชายแมว ก็มองซ้ายมองขวา ก็ไป เอาญาติผู้พี่ตัวเอง มานั่งเป็นรองหัวหน้า คุมกำลังพล เอ้ย คุมเด็กในห้องอีกแหละ
จนเวลาผ่านไป เด็กชายแมว ก็ยังคงเป็นหัวหน้าห้องอยู่ แต่ญาติผู้พี่ ก็เรียนจบไปอีกคน
เด็กชายแมว ก็ไปสอยเอา เด็กน้อยที่คิดว่าหงิมๆ ชื่อ เด็กชายกะทิดำ มานั่งคุมเด็กในห้อง

ด้วยความที่ เด็กชายแมว ชักจะอยู่นาน ประกอบกับ เอากระดานดำของห้องไปขายให้เพื่อนห้องข้างๆ แล้วบอกหน้าตาย ผมไม่เกี่ยว ไม่ผิดกฏโรงเรียนซะหน่อย
เด็กชายแมว เลยโดน เด็กชายกะทิขาว ออกมาขับไล่ ให้เด็กชายแมวลาออกจากการเป็นหัวหน้า พร้อมส่งจดหมายน้อยๆให้เด็กชายกะทิดำ ว่าให้ออกมาช่วยกันเอาเด็กชายแมวออกไป

เด็กชายกะทิดำ เห็นว่าไม่ดีแน่ ทางหนึ่งก็เห็นว่า เด็กชายแมว อุตส่าห์ตั้งตัวเองมาเป็นรองหัวหน้า อีกใจก็เห็นคนไปเข้าร่วมกับเด็กชายทิขาว เยอะเลย

อย่ากระนั้นเลย เด็กชายกะทิดำ เลยไสรถถัง ออกมา ไล่เด็กชายแมวไป เรียน High School ที่ลอนดอน (วันดีคืนดีก็มีคนมาเรียกหา เมี้ยว เมี้ยว)

เด็กชายกะทิดำ จะตั้งตัวเองเป็นหัวหน้าห้องก็คงตะขิดตะขวง เลยไปชวนเอา เด็กชายแอด ซึ่งนั่งจิบน้ำขิงอยู่บ้านดี มาเป็นหัวหน้าห้องแทน
เด็กชายแอด ด้วยที่ติดใจรสขิง ก็เลย แจกฮอลล์รสขิงให้เพื่อนในห้องกินกันจนเปรม

เด็กชายกะทิดำ แม้จะไม่ตั้งตนเองเป็นหัวหน้าห้อง แต่ก็เรียกตัวเองว่า ประธานห้อง พร้อมประกาศว่า จะเป็นประธานแค่ปีเดียว พอครบปี ก็จะออกแล้วให้เพื่อนๆเลือก หาหัวหน้ากันใหม่

กาลเวลาผ่านไป เพื่อนในห้องเบื่อฮอลล์รสขิงแล้ว ออกมาก่นด่าไม่เว้นวัน เข้าทำนองชิมไป บ่นไป
เด็กชายกะทิดำ เรียนจบ เลยลาออกจากเป็นประธานห้อง ซะ
แต่ๆๆ เด็กชายแอด กลับไปตั้ง เด็กชายกะทิดำ มานั่งตำแหน่ง รองหัวหน้า สิ
เด็กชายกะทิดำ ก็ยัง คุมกำลังเอ้ย...คุมเด็กๆในห้อง ต่อไป

เด็ก วันนี้ คือผู้ใหญ่ในวันหน้า ไม่รุ้ว่า อีก 50 กว่าปีข้างหน้า เด็กพวกนี้จะไปทำอะไรให้ประเทศเราบ้างน้า