Friday, November 30, 2007

ทำไมทองแพง ทองแพงแล้วทำไม(จบ)

จากตอนที่แล้ว ผมอธิบายร่ายถึง ลักษณะของผู้บริโภคทองคำ และพฤติกรรมเมื่อราคาทองคำเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นระดับ จุลภาค
แต่ว่า กลัวเหลือเกินว่า ผู้อ่านที่ไม่มีพื้นฐานด้านเศรษฐศาสตร์มาอ่านแล้วจะงง บทความนี้ก็จะพยายามปรับภาษาให้อ่านง่ายเข้าใจได้่ง่ายขึ้น



ราคาทองคำที่ขึ้นๆลงๆ อยู่ในตอนนี้ ก็เป็นผลมาจากราคาตลาดโลก ถ้าเปรียบให้เห้นชัดก็คือ คล้ายกับราคาน้ำมันในประเทศไทย ที่ต้องอิงราคาหน้าโรงกลั่นในตลาดสิงคโปร์ เพราะว่าประเทศไทยไมไ่ด้เป็นผู้ผลิต น้ำมันและทองคำ จนสามารถกำหนดราคาตลาดได้นั่นเอง
ราคาจึงเป็นไปตามกลไกตลาด (แต่ก็อาจจะถูกบิดเบือนได้)

ตลาดทองคำที่สำคัญในโลกนี้ มี 3 แห่ง เป็น 3 แห่งที่นักลงทุนและกองทุน นิยมที่จะพิจารณา และคาดการณ์ถึงราคาที่จะเป็น ทั้งสามแห่งที่ว่าคือ ฮ่องกง ลอนดอน และนิวยอร์ก
ทั้งสามตลาดราคาจะมีความใกล้เคียงกันมาก อาจะแตกต่างกันประมาณ 1-5 เหรียญสหรัฐ ต่อ 1 ออนซ์

บอกไว้เป็นความรู้นิดนึงว่า ราคาทองคำที่ซื้อขายในตลาดต่างประเทศนั้น คิดเป็นเหรียญสหรัฐต่อหนึ่งออนซ์ ซึ่งเป็นราคาทองคำที่ใช้กันทุกตลาด ราคานี้นะครับเป็นทองคำแท่งมาตรฐานความบริสุทธิ์ที่ 99.99% นะครับ

ปัจจัยที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำโดยตรงก็เห็นจะเป็น ความเชื่อมั่นของนักลงทุนหรือก็คือ ความต้องการของผู้ซื้อนั่นเอง

นักลงทุนในทองคำก็จะพิจารณาจากสินทรัพย์อื่นๆ เพราะว่า ทองคำนั้นถือว่าเป้นสินทรัพย์ที่สามารถเอาไปกะเก็งกำไรได้ ดังนั้นหากราคาหรือสถานการณืของสินทรัพย์ไม่สู้จะน่าลงทุนแล้ว ราคาทองคำก็จะพุ่งพรวดปานติดจรวด เพราะว่านักลงทุนจะแห่มาซื้อทองคำกันหมด
สินทรัพย์ที่ว่าเช่น หุ้น น้ำมัน เป็นต้น

มาถึงตรงนี้จะขอสาธกยกตัวอย่างให้เห้นกันบ้าง เผื่อบางท่านอาจจะงง
ยกตัวอย่างนะครับ อย่างตอนนี้ที่เศรษฐกิจของสหรัฐโดนสกรัมด้วยปัญหาต่างๆ ความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่จะเอาเงินไปซื้อหุ้นในตลาดดาวน์โจนส์ ก็คงจะมีน้อย นักลงทุนก็จะเริ่มมองหาที่ทำกำไรใหม่ๆ ซึ่งก็มีให้เลือก เช่น น้ำมัน และทองคำ
พอนักลงทุนแห่เอาเงินมาซื้อทองคำ ราคา ก็จะพุ่งพรวดๆๆ อย่างที่เห็น

แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นตามกฎนี้ไปซะทุกครั้ง เพราะว่าผู้เล่นที่มีบทบาทสำคัญในตลาดทองคำ ก็คือพวกกองทุนหรือที่เราเรียกว่า Hedge Fund ซึ่งจะระดมเงินจาก ผู้งทุนราย่อย และรายใหญ่ เอาไปกว้านซื้อ ซึ่งทุนของพวก Hedge Fund พวกนี้ จะมีมาก ดังนั้นเมื่อเข้ามาซื้อก็จะทำให้ราคาของทองคำพุ่งพรวดๆ คล้ายๆกับการปั่นหุ้น นั่นแหละ
พอมีเหตุการณืนี้เข้า ก็จะมีแมงเม่าที่บินเข้าไปเจ็บตัวเพราะว่า กองทุนจะเทขายเมื่อไรนั้นไม่มีใครทราบ

การกะเก็งราคาทองคำ จึงยากลำบาก หากเดินไปถามร้านทอง ถามว่า ทองจะขึ้นหรือจะลง ก็คงต้องตอบว่า ไม่รู้ เพราะว่าถ้ารู้ล่วงหน้า ก็จะไม่ต้องมายืนขายปลีกให้เมื่อย รอให้ราคามันขึ้นแล้วยกตู้ขายกันดีกว่า

วกกลับมาดู ราคาในประเทศไทยกันบ้างว่า มีสูตรคำนวนณกันอย่างไร
ราคาทองคำในประเทศไทยนั้น คำนวณโดยดูจาก ราคาทองคำต่างประเทศ นั่นแหละครับ โดยจะปรับราคาให้อยู่ในรูป สกุลเงินบาท และน้ำหนักเป็นบาท คือ 15.16 กรัม
ดังนั้นตัวแปรของราคาทองคำในประเทศนอกจากจะเป็นราคาทองคำแท่งตลาดต่างประเทศแล้วยังมี อัตราแลกเปลี่ยนด้วย
วิธีการคำนวณก็ไม่ยากอะไร ให้เอาราคาทองคำตลาดโลกบวกสอง แล้วคูณกับอัตราแลกเปลี่ยน และคูณด้วย 0.473 ครับ

P(Thai) = 0.473P(world)*Exchage rate

อย่างตอนนี้ ทองคำแท่งตลาดโลก ทะลุโลกไปทำสถิติ 800 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ แล้ว ถ้าเงินบาทไม่แข็งเข้าช่วยไว้ ป่านนี้เราได้เห็นทองคำบาท 14,000-15,000 บาทต่อ 1 บาทไปแล้ว

คงพอจะเห็นคร่าวๆแล้วว่า ราคาืทองคำทำไมแพง ก็พอจะสรุปว่า เกิดจากกลไกตลาดและการฉวยโอกาสเข้าทำกำไรของกองทุน รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนซึ่งมีผลโดยตรงต่อราคาทองคำในประเทศ

หากจะสรุปว่า ทองแพงแล้วทำไม ก็คงจะบอกว่า ก็ไม่ทำไมหรอกครับ แค่มีผลต่อผู้บริโภคนิดๆหน่อย ตามความยืดหยุ่นของอุปสงค์ที่ได้เล่าไปเมื่อตอนที่แล้ว

แต่ถ้าจะมองถึง ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมแล้ว ผมก็เห็นว่า คงไม่มีอะไรกระทบต่อวิถีประชา คุณไม่ได้ซื้อทองเอาไปหุงกินทุกวันแบบข้าวนี่นา

ฉะนั้น ประชาชนทั่วไปเห็นทองคำแพงก้อย่าตกใจไปครับ
ให้ร้านทองเค้าตกใจดีกว่า เพราะว่า จูๆ่เงินในกระเป๋าของพวกร้านทองเพิ่มขึ้นแบบชั่วข้ามคืนไงครับ






Thursday, November 22, 2007

ทำไมทองแพง ทองแพงแล้วทำไม (1)

ถ้าคุณรู้จักปุ่ม power ที่โทรทัศน์ แล้วเผอิญว่านั่งกระดิกเท่้ากดรีโมท ไปเจอเอาข่าวเศรษฐกิจ ที่มักจะชอบไปสัมภาษณ์นายกสมาคมค้าทองคำ ว่าทำไมทองแพง แล้วแนวโน้มจะเป็นอย่างไร

นายกฯ ท่านก็จะกรุณาอธิบายอย่างยาวเหยียด พร้อมกับวิเคราะห์ว่า ราคาทองคำจะไปในทิศทางใด
(แต่น่าแปลกที่ราคามักจะสวนกับคำพูดของนายกฯ ในวันต่อๆมา)

เคยนึกสงสัยมั๊ยว่า ทำไมทองคำถึงมีบทบาทต่อชีวิตเรา และอะไรเป็นปัจจัยกำหนดราคาทองคำ

พวกที่คลุกคลีกับทองคำ นอกจากพระสังข์ที่ชุบตัวในบ่อแล้ว ก็จะเป็นมนุษย์โลกที่ชอบเก็งเอากำไรจากการซื้อขายทองคำแท่ง(gold bullion) และพวกมนุษย์ที่รักสวยงามหา utility จากการซื้อหาทองรูปพรรณ(ornament) มาประดับร่างกายไล่มาตั้งแต่หัวจรดปลายนิ้วก้อย

มนุษย์พวกแรกนั้นชอบจะซื้อหาทองคำแท่งเพื่อเก็งกำไร ซื้อเมื่อทองลง ขายเมื่อทองแพง ซึ่งถ้าพูดแต่กรณีประเทศไทย ก็จะพบว่ามีการซื้อขายกันในสองแบบ คือ ซื้อขายทองคำกันจริงๆ เวลาซื้อก็จะหอบเงินสดหรือโอนเงิน แล้วก็จะได้ทองคำแท่งหนักๆ เอามานอนกอดเล่นที่บ้านอย่างสบายใจ ส่วนอีกแบบเป็นการซื้อขายโดยใช้กระดาษ คือเอาเงินมา เอากระดาษไปแทนทองคำ เวลาจะขายก็ง่ายดาย โทรศัพท์สั่งขายไม่ต้องหอบทองไปมา
อย่าไรก็ตามดูเหมือน วิธีแรกจะเป็นที่นิยมมากกว่า เพราะว่า ผู้บริโภคยังคงคิดว่า การได้ทองคำจริงๆมาไว้กับตัวดูจะอุ่นใจกว่า จะขายที่ไหนกับใครจะสะดวก ส่วนซื้อขายกระดาษนั้น นอกจากจะต้องขายกับร้านที่ซื้อมาอย่างเดียวแล้ว ยังจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงของความไว้เนื้อเชื่อใจของร้านด้วย

ผู้บริโภคอีกกลุ่ม ถือว่าเป็นผู้บริโภคกลุ่มใหญ่กว่า พวกนักเก็งกำไร แต่ปริมาณการซื้อแต่ละครั้งนั้นไม่มากมายเท่ากลุ่มข้างบนนั่น ผู้บริโภคพวกนี้จะมักซื้อทีละ 1 สลึง 2 สลึง 3 สลึง 1 บาท หรือถ้าซื้อไปเพื่อการอื่น เช่น แต่งงาน ก็จะไม่เกิิน 10 หรือ 20 บาท


ผู้บริโภคทั้งสองกลุ่มนี้ ตอบสนองต่อราคาแตกต่างกัน เนื่องเพราะประโยชน์ที่ได้รับจากการเปลี่ยนแปลงของราคาต่างกันนั่นเอง

ราคาทองคำนั้นจะประกาศโดยสมาคมค้าทองคำ อาจจะเป็นรายวัน หรือ ตามการเปลี่ยนแปลง แล้วแต่ความผันผวน สมาคมฯจะประกาศประมาณ 9.15 a.m. ของทุกวัน จะเป็นราคารับซื้อและราคาขายทองคำแท่ง ซึ่งจะมีส่วนต่างคือ 100 บาท เช่น ถ้าทองคำแท่งวันนี้ รับซื้อ 10,000 บาท ราคาขายก็จะเป็น 10,100 บาท ส่วนทองรูปพรรณนั้นก็ต้องบวกค่ากำเหน็จหรือค่าแรง เข้าไปด้วยตามแต่ลวดลายที่ซื้อกัน

เมื่อราคาทองคำเพิ่มขึ้น ตามกฎของอุปสงค์ มนุษย์ก็มีความต้องการซื้อลดลง แต่ มนุษย์เก็งกำไรจะมีความยืดหยุ่นต่อราคา สูงกว่า อธิบายง่ายๆก็คือ เมื่อทองคำแพงขึ้นแม้จะเพียงนิดเดียว นักเก็งกำไรจะหยุดดูสถานการณ์ เพราะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อทองคำในราคาที่แพง
ในขณะที่ ผู้บริโภค(จริงๆ) ซึ่งมีความจำเป็นมากกว่า -จำเป็นเพื่อใช้ในงานต่างๆ- ดม้ทองจะแพงขึ้นไปมากน้อยเท่าไร ความต้องการซื้อก็ไมไ่ด้ลดลงมาก คือ ไม่ได้ไม่ซื้อเลย แต่อาจจะซื้อในปริมาณที่ลดลง

(ไม่แน่ใจว่ามี paper มายืนยันเรื่องความยืดหยุ่นของอุปสงค์ต่อราคาของผู้บริโภคทองคำแท่ง หรือยัง ที่เขียนมานี่เป็นการสังเกตล้วนๆ อย่าเอาไปอ้างอิง)


แล้วอะไรเป็นตัวกำหนดราคาทองคำ
ไว้มาว่ากันยาวๆตอนหน้าดีกว่า

Friday, November 09, 2007

เสพเมถุน

เอาแล้วไง เป็นเรื่องขึ้นมาทันที
เมื่อ สมัคร สุนทรเวช ถามนักข่าวผู้ชายว่า "เมื่อคืนคุณร่วมเมถุน รึป่าว"
นักข่าวตอบว่า "ไม่"
สมัคร :ไม่ร่วม ก็จบเรื่องไป

กลายเป็นตลกร้ายทางการเมือง เพราะว่า คุณสมัคร ลืมนึกไปว่า การเสพเมถุน ทางการเมือง หรือเรียกให้เหมาะคือ การทำกิจกรรมทางการเมือง มิได้เป็นเรื่องส่วนตัว แบบเรื่องการมุ้ง แต่อย่างใด


ต้องเข้าใจว่า สมัคร นั้น มีทัศนคติที่ไม่ดี ต่อสื่อสารมวลชนอยู๋ แล้ว ดังปรากฏในงานเขียนของสมัคร นั่น
รวมถึงเรื่อง มารยาท ต่อนักข่าว ที่ว่า ลุกเดินหนีการสัมภาษณ์ไปเฉยๆ นั่น

ท่าที่สมานฉันท์ จึงหาไม่ได้จากชายชื่อ สมัคร

บรรดากองเชียร์ ลื่วล้อ ก็ต้องออกมาบอกว่า คุณสมัคร แกเป็นคนพูดตรง
ผม ก็ไมไ่ด้เถียงอะไร แต่พูดตรง กับ พูดจาทุเรศหลงประเด็น พยายามหาเรื่องทะเลาะกับนักข่าว เพื่อจะไม่ให้นักข่าวได้ข่าว ความขัดแย้งในพรรค เป็นยุทธวิธี ที่นายสมัคร มักจะใช้อยู่เพื่อเลี่ยงบาลี นักข่าวเอาบ่อยๆ

อย่างนี่ ก็เลี่ยงประเด็นไปว่า เนชั่นทำไมต้องขายตึก กลายเป็นเรื่องที่ ลูกพรรค พปช. ขำ
แต่นักข่าวไม่ขำด้วย

งานนี้ ไม่รู้ว่าคะแนนในกรุงเทพจะหล่นไปมากน้อยเท่าไร เพราะถึงยังไง ฐานเสียงของคุณสมัครก็ยังเยอะอยู่

แต่อยากจะลองให้คิดถึง นายกฯ คนต่อไปที่ชื่อสมัคร ถ้าเกิด วันดีคืนดี แกนึกครึ้มถามประชาชนว่า

"เมื่อคืนคุณร่วมเมถุนแล้วหรือยัง"

ไม่รู้ว่าประชาชนจะตอบยังไงดี

กลัวว่าเดี๋ยวคุณสมัครจะมีแคมเปญมารณรงค์

คุณมีชัย วีระไวทยะ ได้มีงานทำเพิ่มขึ้นแน่ๆ

ปล.
เสพเมถุน [V]
Meaning: have a sexual intercourse
Syn: ร่วมประเวณี, เสพสังวาส


Thursday, November 01, 2007

อีกดอก อีกดอก


ช่วงนี้หน้าหนาวใกล้มาเยือนอีกแล้ว
เป็นช่วงที่ต้นไม้กำลังพักตัว แต่อานิสงส์ของปุ๋ยเร่งดอกที่บรรจงใส่ให้ต้นกระบองที่รักเมื่อซักสองสามเดือนก่อน ก็มาปรากฏผลเอาในวันนี้เอง

เป็นอีกครั้งที่ ได้เห็นดอกไม่ใหญ่ของ Astrophytum ต้นนี้
สำหรับต้นนี้ สอยมาจาก เทเวศน์ ในราคา 70 บาท เมื่อปีที่แล้ว เจ้านี่ก็ทำท่าว่าจะออกดอกครับ แต่ทำไปทำมา ดอกกลับร่วงโดยที่ยังไม่บานเอาซะอย่างนั้น สร้างความโศกาอาดูรแก่ผมยิ่งนัก อย่ากระนั้นเลย ปีนี้ก็เลย กระหน่ำบำรุง ด้วยปุ๋ยสารพัด อย่างตอนแรกๆ ก็ใส่ ออสโม่โค้ด เจ้าเม็ดเหลืองๆนั่นแหละ แต่ว่า คนขายที่จตุจักรบอกมาว่า เจ้าปุ๋ยนี่ มันจะทำรากต้นไม้เราเปื่อย ด้วยความกลัว ผมก็เลยไปเสาะหาปุ๋ยเกล็ดละลายน้ำขนานใหม่มา ขออภัยเถอะที่จำยี่ห้อไม่ได้แล้ว ก็พ่นๆๆๆๆๆๆ ให้กลับลูกๆทุกต้น

ได้ผลเกิดคาด ถ้าสังเกตดีๆ เจ้านี่ กำลังแทงช่อดอก ออกมาอีก 2 -3ดอก
ไม่รู้ว่า จะบานอีกเมื่อไร ไว้บานแล้วจะเอามาให้ดูกันอีกนะ