Wednesday, December 28, 2005

Happy New Year

Happy New Year
ครับ

น่าจะเป็น คำอวยพรที่คุ้นหูกันอยู่นะครับ
ถ้าเป็นคนไทยก็ต้อง สุขสันต์วันปีใหม่ แต่ก็ออกจะเชยๆไปแล้วแหละ

ช่วงนี้คงยังไม่มีใครพูดว่า "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดใช้" ต้องรอไปถึง 29 มกราคม นู่นล่ะครับ
แต่ๆคนจีนก็เห่อวัฒนธรรมตะวันตกนะครับ
อย่างตอน countdown ปี 2000 ที่จัตุรัส เทียนอันเหมินนั่นก็ฉลองกันอย่างยิ่งใหญ่
หรือแม้แต่เทศกาล ฮาโลวีน เอง คนจีนก็สนใจมาก
ตอนไปเที่ยวฮ่องกง ห้างที่ขายของเล่น Toy'r us จัดเป็นซุ้มเบ้อเริ่มสำหรับขายของเกี่ยวกับฮาโลวีน คนจีนหนุ่มสาว ก็มารุมซื้อกันใหญ่
จีนกำลังเปิดประเทศ กำลังซื้อมหาศาลเลยทีเดียว

สำหรับปีใหม่ฝรั่งอย่างนี้ คนจีนก็ไม่ถือหรอกครับ ก็อวยพรเหมือนๆกัน
อย่างเช่น

新年快乐 (ซินเหนียนไคว่เล่อ) ก็แปลว่า สุขสันต์วันปีใหม่

恭喜發財 (กงสี่ฟ้าไฉ) ก็แปลว่า Happy New Year เหมือนกันล่ะครับ


เจอกันหลังปีใหม่
พร้มกับการสอบ IO เฮ้อ......เซ็ง

Monday, December 26, 2005

ไหว้พระปีใหม่

Merry Christmas !!!
เมื่อวาน 25 ธ.ค. วันคริสต์มาส ชาวคาทอลิกเค้าเชื่อว่า เป็นวันที่ Jesus Christ ทรงถือกำเนิด ก็เฉลิมฉลองกันเสียใหญ่โต
ก็พลันให้ไปนึกถึงเพลง Joy to the World และ Hallelujah
แต่ผมไม่ได้เป็นคริสตังหรอกนะ
เป็นชาวพุทธโดยกำเนิด
ใกล้ปีใหม่แล้วก็เลยไปวัดแทน
วัดที่ว่าเป็นวัดจีน ตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง
ชื่อเป็นไทยว่า วัดมังกรกมลาวาส หรือที่คุ้นเคยก็คือ วัดเล่งเน่ยยี่



แต่กว่าจะฝ่าวิกฤตจราจรแถบนั้นมาได้ก็เล่นเอาเหนื่อยทีเดียว
พอลงจากรถได้ ก็ตรงเข้าไปในวัดเลย
ภาพที่เห็นคือ เนืองแน่นไปด้วยสาธุชนที่แห่เข้าไหว้ขอพรปีใหม่
แต่ด้วยความที่ไม่เคยไป ก็เลยไปยืนเก้ๆกังๆ อยู่พักนึง
แล้วก็เห็นอาม่าแกไปซื้อของมาไหว้ ก็เลยเอาตามอย่างบ้าง
ในถุงที่ซื้อมา ธูปให้กำมือนึง เทียนแดงไหว้เจ้า 2 เล่ม แล้วก็ของไหว้กระดาษไม่รู้ว่าเรียกอะไรล่ะ
พอขาก้าวเข้าสู่ประตูวัด ก็เจอกับ ควันธูป
นึกถึงอาการของยุงเจอไบกอนเลย เมาสิครับ

สิ่งแรกที่ควรทำคือ จุดธูป
หลักการจุดธูป ต้องเอียงธูปทำมุมกับเปลวไฟ ให้ได้ 45 องศา แล้วไฟจะลุกโชติช่วงชัชวาล
จากนัดก็จุดเทียน
ว่าแล้วก็เดินไป
องค์แรกที่ไหว้ก็คือ พระสังกัจจายน์ เค้าว่าไหว้แล้วจะมั่งคั่งร่ำรวย ไม่ใช่อ้วนแบบท่านนะ
แล้วก็เดินเข้ามาอีกประตู ก็จะเจอกับ สารพัดองค์เทพ
มีพระประธาน 3 องค์ ตอนแรกไม่รู้จักเลย มารู้เอาภายหลังว่าคือ พระอมิตาภพุทธเจ้า พระศากยมุนีพุทธเจ้า และ พระไภสัชคุรุพุทธเจ้า
ก็เป็นพระพุทธเจ้าในทางมหายาน

ถัดไปทางด้านขวา มีเทพเจ้าอีก เค้าเรียกว่า ไต้เสี่ย (แต้จิ๋ว : ไต้ = ใหญ่ ส่วนเสี่ยนี่ไม่รู้) เป็นรูปลิงครับ เข้าใจเองว่าคงเป็นเทพเจ้าเห้งเจีย ถัดมาก็จะเป็น ปุนเถ้ากง ปุนเถ้าม่า เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ย(เทพเจ้าแห่งโชคลาภ) แล้วก็มีอีกสารพัด ไม่รู้จักแล้ว

วันๆนึง คนมาไหว้ที่วัดนี้เยอะมาก ทีแรกนึกว่าจะมีแต่อาม่าแก่ๆมา วันนี้เต็มไปด้วย วัยรุ่นแล้วก็คนวัยกลางคน แถมนอกจากคนไทยเชื้อสายจีนแล้ว ยังมีฝรั่งมาไหว้อีก แต่ที่สังเกตดู ถ้าเป็นคนแก่ จะเป็นอาอึ้มกับอาม่า มากกว่า น้อยมากที่จะเป็นอาแปะกับอากง มาไหว้
สงสัย พวกผู้ชายไม่ชอบไหว้พระ

พระจีนที่นี่พูดไทยปร๋อเลย ก็คนไทยนี่นา
พูดใส่ไมค์ขายเจ้าแม่กวนอิม กับเชิญญาติโยมมาทำบุญสร้างระฆังกัน
ก็เป็นกันทุกวัดแหละครับ ไม่งั้นจะมีเงินมาซ่อมแซมวัดได้ไง

ใกล้ปีใหม่แล้ว ไหว้พระขอพร เป็นสิริมงคลก็ดีนะครับ

ยังไม่ถึงปีใหม่จีน ก็เลยขออวยพรเป็นภาษาไทยแล้วกันครับว่า
“โชคดีปีใหม่ครับ”

Monday, December 19, 2005

เจ๊กตื่นไฟ


เมื่อเสาร์ ในซอย มีเรื่องก็คือ
"ไฟไหม้"
ก็ไม่รู้ว่าพวกไทยมุงจีนมุง ไม่รู้โผล่มาจากไหนกันมากมาย




ไฟไหม้นี่น่ากลัวมากเลยนะ ขนาดบ้านเดี๋ยวนี้เป็นตึกหมดแล้ว ยังมีข่าวว่าไฟไหม้แล้วถล่มเลย
สมัยก่อนเก่าไม่ต้องพูดถึง..บ้านเป็นไม้..
เคยได้ยินคำว่า "เจ๊กตื่นไฟ-ไทยตื่นข่าว-ลาวตื่นยศ" ปะ

เคยสงสัยมั๊ยว่าทำไมต้องเจ๊กตื่นไฟ
ลองนึกภาพความเป็นอยู่ของคนจีนในสมัยก่อนสิ เป็นห้องแถวไม้
ถ้าเกิดมีไฟไหม้มาซักหลังละก็...รับรองว่าไหม้หมดแน่ๆ

โผ่(แม่ของแม่ = ยาย) เล่าให้ฟังว่า เมื่อตอนโผ่เป็นเด็ก เกิดไฟไหม้บ้านซึ่งเป็นห้องแถวไม้ เรียกว่าวอด หมดทุกหลังคาเรือน สาเหตุก็เพราะว่าบ้านต้นเพลิงจุดตะเกียงแล้วตะเกียงล้มไปติดมุ้ง แล้วก็เลยลามไปหมดตั้งแต่หัวตลาดยันท้ายตลาด

แต่นั่นก็ยังไม่แย่เท่ากับว่า ชาวบ้านทั้งหมด ก็ต้องอพยพ โยกย้ายไปตั้งบ้านกันใหม่ บางคนก็หมดตัวกันไปเลย

เพราะฉะนั้น คนจีนสมัยก่อนจึงกลัวกันนัก

อย่าว่าแต่คนจีนเลย คนไทยก็กลัวเหมือนกัลลล์

ว่าแล้วก็กลับไปหอดีกว่า กลัวไฟไหม้เหมือนกัน

Friday, December 16, 2005

"บ้า" รึยัง???

อ่านในผู้จัดการ

ไม่เอา...ไม่แต่งกับคน ‘แต้จิ๋ว’ !?

คือไม่ประหลาดใจเท่าไรหรอกครับ เพราะว่าไม่ใช่แต่แต้จิ๋วหรอก คนจีนสายอื่นๆเค้าก็เป็นกัน
แต้จิ๋ว เคร่งธรรมเนียม ไหหลำ แคะ ก็เคร่งธรรมเนียมเหมือนกัน
กรณีแต่งเข้าไปเป็นสะใภ้ที่ไหนก็แล้วแต่ ก็ต้องทนกับ แม่ผัว ทั้งนั้นแหละ

แต่ว่าสมัยนี้ยุคสมัยมันก้เปลี่ยนไปแล้ว จะให้สะใภ้มานั่งปรนนิบัติพัดวีแม่ผัวมันก็ใช่ที่ เพราะว่าผู้หญิงเค้าก็ทำก็ทำงานนนอกบ้านกันทั้งนั้น
ทีนี้อาอึ๊มหรืออาม่า แม่ผัว ก็อดรนทนได้ที่ไหนเล่า ก็สะใภ้ไม่ยอมลงให้แม่ผัวนะ(เป็นสมัยก่อนก็ว่าไปอย่าง)
แถมไม่กล้ายื่นคำขาดกับลูกชายว่า "อาตี๋ ลื้อจะเลือก ม้า หรือ เลือก เมียลื้อ" เพราะกลัวว่าลูกชายจะตอบว่าเลือกเมียน่ะสิ จะมานั่งเก๊กซิมกินใบบัวบกไป
แม่ผัวก็เลยต้องปรับตัวฉะนี้



กลับมาพูดเรื่องภาษาไหหลำต่อ ...เมื่อครั้งที่แล้วคุยเรื่องเครือญาติ
วันนี้คงพูดเรื่องคำว่า "บ้า"

สมัยก่อน กง ยังอยู่ ก็กินข้าวร่วมกับลูกน้อง ก็กินไปกินมา
เห็นลูกน้องเริ่มจะวางตะเกียบแล้ว ก็ถามลูกน้องว่า
......"บ้า" รึยัง??
......ลูกน้องก็งง สิ เอ๊า กินข้าวอยู่ดีๆก็มาถามว่า "บ้ารึยัง?" ซะงั้น ถ้าจะบ้าเว้ย
......ลูกน้องก็ตอบว่า "ยังไม่บ้าหรอก"
กง ก็เลยบอกว่า "อ้าว ยังไม่บ้า ก็กินต่อสิ"
??!!?!?!??!!

(คำว่าบ้า ก็แปลว่า "อิ่ม" นั่นเอง ถ้าออกเสียงในแต้จิ๋ว ก็เป็น "ป้า")

ที่อ่านๆมานะ "บ้า" รึยังครับ

Wednesday, December 14, 2005

Hai Nan Lism

สนใจ "จีน" มานานโขแล้ว
ด้วยความที่ มีเชื้อจีนอยู่บ้าง และก็เรียนภาษาจีนกลางมาบ้าง

ในเมืองไทยก็มีคนจีนโพ้นทะเลที่อพยพมาจากแผ่นดินใหญ่เยอะมาก จนแยกไม่ออกแล้วว่าคนไทยแท้ๆหน้าตาเป็นยังไง

โดยทั่วไปแล้วคนจีนในเมืองไทยก็จะมาจากมณฑลกวางตุ้งหรือกว่างตง
มาจากตะวันออกเฉียงเหนือ ก็จะเป็นพวกจีนแต้จิ๋ว ซึ่งมากที่สุด
มาจากตอนกลางก็เป็น กวางตุ้ง,จีนแคะ
มาจาก มณฑลฟูเจี้ยน นั่นก็เป็นพวกฮกเกี้ยน
มาจาก ตะวันเฉียงเหนือของเกาะไหหลำ แน่นอนก็จะเป็นพวกไหหลำ

สาเหตุที่คนจีนต้องอพยพมาเมืองไทย ก็เพราะว่า เมื่อก่อนนี่เมืองจีนยากจน แล้วก็ลำบากยากแค้นแสนเข็ญ
แถมยังมีพวกทหารญี่ปุ่นเข้ามาบุกรุกอีกต่างหาก
อย่ากระนั้นเลย ก็ลงเรือมาตายเอาดาบหน้าดีกว่า
พอมาแล้วบางคนก็หวังว่าจะได้กลับไปเมืองจีน คือให้มีดินกลบหน้าที่เมืองจีนว่างั้น
แต่สุดท้ายแล้วก็ไมได้กลับหรอก

อย่างที่บ้านนี่มีเชื้อสายไหหลำ จริงๆเค้าไม่ให้พูดหรอกว่า มีเชื้อ เค้าให้พูดไปเลยว่า อั้วติไหหน่ำหนั่ง(ฉันนี่แหละคนไหหลำ)
เพราะว่าคนไหหลำมีความภูมิใจในวัฒนธรรมของตนเองมาก
วัฒนธรรมและก็ภาษาพูดของคนไหหลำก็จะคล้ายกับจีนแต้จิ๋ว แล้วก้มีบางอย่างไปคล้ายกับจีนแคะ
แต่ว่าพวกไหหลำรุ่นหลังๆนี่พูดภาษาจีน ก็เพราะว่าพ่อแม่ไม่พูดกับลูกบ้างล่ะ บางครั้งตัวของไหหลำ generation ใหม่ก็ไม่นิยมพูดกัน

ลักษณะของจีนไหหลำจะไม่ใช่ คนจีนที่คุณเห็นหรอก ขาวๆ...หมวยๆ เลิกคิดเลย
พวกไหหลำในเมืองไทยจะออกคล้ำๆ หน่อย เพราะว่าเป็นพวกที่อยุ่บนเกาะลมทะเลแรง
แต่ว่าญาติพี่น้องไหหลำที่อยู่เมืองจีน กลับขาว เนียน งง เหมือนกัน
แต่บางคนที่เป้นไหหลำในไทยนี่ก็จะขาวๆเหมือนกันนะ

แล้วคุณจะแยกออกได้ยังไงว่าใครเป้นคนไหหลำหรือแต้จิ๋ว
สังเกตง่ายๆตอนที่ เรียกเครือญาติในครอบครัวน่ะ

มันก็ไม่ถึงแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงหรอกนะ ยังมีความคล้ายกันบ้าง เช่น
พ่อ - เรียกว่า แด หรือ บางตำบลของคนไหหลำจะเรียกว่า เด ซึ่งก็จะคล้ายกับคนแต้จิ๋วที่เรียกว่า เตี่ย (ต,ด นี่คล้ายกันนะครับ)
แม่ - เรียกว่า มา อันนี้คิดว่าคล้ายกับภาษาอื่นแหละ
พี่ชาย เรียกว่า โก อย่างพวกที่ขายกาแฟน่ะ ที่เราเรียกว่า โกนั่นโกนี่ อันนี้คล้ายๆกับจีนกลางที่เรียกว่า เกอ
พี่สาว เรียกว่า เจ ถ้าแต้จิ๋วก็จะเป็น เจ้.เจ๊ หรืออะไรก็ว่าไป แจ้ บ้างก็มี จีนกลางจะเรียกว่า เจี่ยเจีย

แล้วก็สารพัดเครือญาติที่เรียกต่างกัน ไว้วันหลังจะมาเล่าให้ฟังอีก