Wednesday, April 30, 2008

สามก๊ก : ยุทธนาวีที่ผาแดง

ท่านผู้อ่านทั้งหลายครับ
ช่วงนี้มีหนังสามก๊กเข้าเรื่องนึง
แต่ว่าไม่ได้อิงประวัติศาสตร์ หรือ แปลงพงศาวดารสามก๊ก ฉบับที่เราคุ้นเคยกันแต่อย่างใด
ก็อาจจะมีปลอมๆปนมาบ้างล่ะ เพื่อความไม่จำเจ เนอะ
ขืนทำเหมือนเดิม เนื้อเรื่องเหมือนเดิม พล็อตเดิมๆ คนดูเดาได้ มันจะไปสนุกอะไรล่ะ

แต่ในอนาคตกาลอันใกล้นี้ ก็จะมีภาพยนตร์ ฟอร์มยักษ์ มิใช่แห่งสยามประเทศ
แต่เป็น เรื่องราวของสามก๊ก โดยจับเอาตอน ศึกเซ็กเพ็ก หรือ ยุทธนาวีผาแดง หรือ Battle of Red Cliff
มาโลดแล่นบนแผ่นฟิล์ม

เราไม่ค่อยจะได้เห็นสามก๊ก บนจอยักษ์เท่าไร
ขงเบ้ง รับบทโดย ทาเคชิ คาเนชิโร่


ถ้าย้อนกลับไป คนอายุมากกว่าผม จะต้องได้เรียน สามก๊กตอน โจโฉแตกทัพเรือ ผมไม่เคยอ่าน เพราะว่าตอนเรียน ก็เรียนแต่ จูล่งฝ่าทัพรับอาเต๊า

ถ้าจำกันไม่ได้ หรือว่าไม่เคยผ่านตา ผมก็จะขออาสาไล่เรียง เอาคร่าวๆพอเห็นภาพกัน เพื่อไม่เป็นการเวิ่นเว้อ เดี๋ยวจะโดนเหวี่ยง ซะก่อน

เรื่องราว เริ่มต้น ที่ เล่าปี่ (คนที่พูดถึงเมื่อคราวที่แล้ว) ตะแกไปพบกับ ยอดกุนซือแห่งยุค คือ จูกัดเหลียง ขงเบ้ง แล้วก็ได้กัน เอ้ย...ได้ตัวมาอยู่ที่เมืองซินเอี๋ยด้วยกัน

ตาขงเบ้ง ก็แสดงกฤษดาภินิหาร ป้องกันเมืองไว้เป็นสามารถ

แต่น้ำลายที่น้อยย่อมไม่สามารถดับไฟได้

เมื่อ โจโฉ กรีฑาทัพใหญ่มา ก็กวาดพาทุกสรรพสิ่งปลาศนาการสิ้น
กวาดเอา แคว้นเกงจิ๋ว ของเล่าเปียว และเมืองรอบๆ
เล่าปี่ ก็เลยต้องการเป็นนายพล ผู้พเนจร รอนแรมหารังนอน

ถึงตรงนี้ สำนวนของยาขอบ เขียนประมาณว่า ทางเจ้าแคว้นอีกแคว้น คือ ซุนกวน (สงสัยตอนเกิดร้องให้โยเย กวนพ่อแม่) ได้กลิ่นศึก รู้ว่า โจโฉ นั้น ยกทัพมา หมายจะรวบรวมพื้นที่อันอุดมสมบูรณ์แถบลุ่มน้ำแยงซีนี้ ใจนั้นอยากสู้ แต่เสนาฝ่ายบุ๋น
นั้นบอกว่า สมยอม เอ้ย..ยอมๆเค้าไปเถอะลูกพี่ จะได้นั่งเล่นฮิห้าสบายใจเฉิบ เชิ้บๆๆ

จะทำอย่างไรดี

ซูนกวน ก็เลย ส่งท่าน โลซก กุนซือ ลงเรือราคา 3.50 ข้ามฝั่งน้ำ ประหนึ่งไปศิริราช (จริงๆแม่น้ำ บ้านเค้ากว้่างกว่าเจ้าพระยา แต่คิดว่า น้ำมันสมัยนั้นคงยังไม่แพงเท่านี้ เลยสมมติว่าราคาเท่ากัน)

ลงเรือไปหา เล่าปี่

ก็เข้าทางเล่าปี่สิครับ เลยส่ง ขงเบ้ง ลงเรือข้ามกลับไป

เรื่องราวการเจรจาความของขงเบ้ง หาอ่านหรือติดตามได้จากที่อื่น

เอาเป็นสรุปว่า ซุนกวน พร้อมรบ
ก็เลย สั่งให้ เสือสำอางแห่งชีเสง หรือ ที่เราคุ้นชื่อ คือ จิวยี่ เป็นแม่ทัพใหญ่ ระดมทหารสู้กับ โจโฉ ซึ่งมีกองทัพถึง ร้อยหมื่น

การสงครามครั้งนี้ สนุกที่ว่า
โจโฉนั้นแม้จะมีกำลังมาก แต่ก็มิได้ชาญสมรภูมิทางน้ำทั้งหมด จะถนัดก็แต่ทหารจากเมืองเกงจิ๋ว เท่านั้น

ด้วยความทีทหารมากกว่า ทำให้ จิวยี่ ไม่สามารถเอาชนะหาญหักได้

อุบายต่างๆ ก็ถูกงัดออกมา

เริ่มต้นด้วย



ยืมลูกเกาทัณฑ์


อุบาย ยืมลูกเกาทัณฑ์ จริงๆอุุบายนี้ ตาจิวยี่ ไม่ได้คิด แต่จุดประสงค์คือ จิวยี่ จะฆ่าขงเบ้ง เลยให้ขงเบ้งทำลูกธนูแสนดอก ให้ได้ภายใน สิบวัน แต่ขงเบ้งบอก สามวัน ก็พอแล้วเฮีย
ขงเบ้งก็แต่งกล เอาเชือกฟางมัดๆ เป็นรูปคน ใส่เรือ ไปลอยในน่านน้ำหน้าทัพโจโฉ แค่คืนนั้น หมอกดันลงจัด มองไม่ถนัดว่าคนหรือหุ่น โจโฉระแวงว่า ข้าศึกจะมาเยอะ เลยให้ระดมยิงธนูไป
หลงจ้งแล้ว ตาขงเบ้ง ได้ลูกธนูไปฝาก จิวยี่ แล้วก็ไม่ลืมที่จะร้องขอบคุณ (เยาะเย้ย โจโฉด้วย)

อุบายต่อมา ที่โคตรคลาสิก คือ อุบายเจ็บตัว
เรื่องนี้ นายพลเฒ่าชื่อ อุยกายเป็นพระเอก แกเตรี๊ยมกับ จิวยี่แล้ว ว่าจะให้โบย
แล้วแสร้งทำเป็น ไปสวามิภักดิ์ โจโฉ โจโฉทีแรกก็ไม่เชื่อ แต่ก็คล้อยตามในภายหลัง
เหตุที่ให้ อุยกายเจ็บตัว เพราะว่า จะใช้เพลิงเผา โจโฉ เลยต้องให้ อุยกาย แสร้งนำเสบียงไปให้ แต่จริงๆ แล้วขนเช่ื่้อเพลิงไปเผา นั่นเอง

สุดท้าย แผนของจิวยี่ ที่จะใช้ไฟเผา แต่จะขาด "ลม"
ถ้าดูตามสภาพแล้ว ลมจะพัดมาจากทางเหนือ คือ พัดเข้าหาทัพของจิวยี่
ถ้าขืน จุดไฟ ไฟก็กลับมาเล่นงงานทัพตัวเอง เอาไงล่ะทีนี้

ขงเบ้ง ก็มาอีกแล้ว คราวนี้บอกว่า เกลอแก้วเอ๋ย เดี๋ยวเราจะเสกลมให้ (แต่จริงๆ แกคงฟังพยากรณ์อากาศ)
ขงเบ้ง ก็ทำพิธีเรียกลม ให้เปลี่ยนทิศซะเลย แหม

สุโขสโมสร สมใจเจ้าจิวยี่
โจโฉ ก็เลยพ่ายศึก ที่เซ็กเพ็กไปด้วยประการฉะนี้

แต่ก็อีกนั่นแหละ ที่ว่า หลายคนบอกว่า งิ้ว ชัดๆ
ก็ เล่า ชวน หัว อีกแหละ นำเสนอว่า โจโฉ เค้าไม่ได้แพ้....แต่ว่าเลิกทัพไปเอง เพราะว่าสาเหตุ หนึ่งสองสามสี่ ว่ากันไป

สามก๊ก ดู และ อ่าน เอาสนุก
ผมว่า ตอนนี้ สนุกเพราะว่า มีการชิงไหวชิงพริบกัน ระหว่าง มิตร และศัตรู
และ สะท้อนถึงภูมิปัญญา และความมุ่งมั่น ได้อย่างดี

ยังมีรายละเอียดที่ ไม่ได้เล่าให้ฟังอีกเยอะ ควรหาอ่านเอาเองนะครับ

Monday, April 21, 2008

สามก๊ก: พนมมือหรือซ่อนดาบ

ช่วงนี้สามก๊ก กำลังฟีเวอร์
เมื่อวันศุกร์ ขงเบ้ง มหาอุปราช--เสิงเซี่ยง--แห่งแคว้น Shu ซึ่งรับบทโดย ถังกว๋อเฉียง อำลาโลกไปแบบที่วัยรุ่นบอกว่า ยังเท่ได้อีก
เล่นเอาพันทิพ ตั้งกระทู้อาลัย กันเสียเอิกเกริก

ด้วยความที่ผม อ่านสามก๊ก มาตั้งแต่ 5-6 ขวบ มิใช่ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง(หน) ดอก
แต่เป็นฉบับการ์ตูน แต่แค่นั้น ก็อ่านจบไปไม่รู้กี่รอบแล้ว
ยังมิได้ซึมซับเอาเล่ห์กล ของ กุนซือ คนใดเข้ามาไว้ในรอยหยักดอก

พอโตมาหน่อย ประมาณ 8-9 ขวบ ก็ไปหยิบเอา สามก๊ก สำนวนของ ยาขอบ มาอ่าน

เล่มแรกที่หยิบคือ เล่าปี่ ผู้พนมมือแด่ชนทุกชั้น เข้าทำนองผู้สมัครส.ส. เลย
เล่าปี่เป็นใคร ลองมาทำความรู้จักกับ มหากษัตริย์แห่งแคว้น จ๊ก กันก่อน



เล่าปี่ คือผู้ชาย แซ่เล่า หรือ แซ่หลิว
ชื่อ ปี่ หรือ เป้ย มิใช่ เป้ย ปานวาด แต่อย่างใด
ดังนั้น ชื่อ ในภาษาจีนกลางก็จะเรียกว่า หลิวเป้ย แต่เราจะชินกับ เล่าปี่


ในราชวงศ์ฮั่น แซ่เล่า ก็คือ แซ่ของฮ่องเต้วงศ์ฮั่น ปฐมกษัตริย์ของ ฮั่น ก็คือ เล่าปัง ถ้าใครเคยดูหนังช่องสามดึกๆ ก็จะเห็นว่า เล่าปัง ขับเคี่ยวกับ เซี่ยงยี่ อย่างสนุก จนได้เป็น พระเจ้าฮั่นโกโจ ปฐมกษัตริย์ราชวงศ์ฮั่น

แต่เล่าปี่ จะบอกว่าเป็นเชื้อพระวงศ์ปลายแถว ก็เห็นจะได้ อย่างถ้าเป็นบ้านเรา ก็จะคงจะไม่มี หม่อม นำหน้าแล้ว แต่ว่า จะมี ณ ห้อยท้าย

ในหนังสามก๊ก ผมแอบขำฉาก ที่ลำดับวงศ์ของเล่าปี่ ลำดับกันไปมา เล่าปี่ กลายเป็น พระเจ้าอา ที่ขำเพราะว่า เค้าแบบสืบประวัติ กันถึงโคตรเหง้าศักราช แต่ผมก็ไม่แปลกใจ เพราะว่าคนจีน ก็ชอบจะทำแบบนี้จริงๆ คือเขียนหรือบันทึกเอาวงศ์ว่านเครือไว้ แล้วก็จะมาสืบชั้นหรือลำดับกันได้ คนไทยไม่ค่อยเห็นนะ

ตามประวัติ ของ เล่าปี่ เค้าว่าเป็นคนทอเสื่อขาย เล่า ชวน หัว ตั้งข้อสังเกตว่า เล่าปี่ คงขายเสื่อดี เพราะว่าสมัยนั้นคนตายบ่อย ซื้อเสื่อไปคลุมศพ
ผมว่า ถ้ารัฐบาลสมัยนั้น ฉลาด เก่ง เลอเลิศประเสริฐศรี แบบคุณทักษิณ ก็คงสนับสนุนให้ทำ เสื่อ OTOP ไปแล้วล่ะมั้ง

เล่าปี่ แสดงกฤษดาภินิหารมากมายในตอนเด็กๆ คงต้องไปหาอ่านกันเอง ผมตั้งสังเกตว่า อาจจะเป็นเรื่องที่ตกแต่งกันเพื่อเสริมบารมี แบบที่คนโบราณ ชอบทำกัน

เล่าปี่ มาเจอ กวนอู กับเตียวหุย และสาบาน ในสวนท้อ เป็นพี่น้องกัน จากนั้นก็รวบรวมกำลังคน เพื่อทำการใหญ่ ถ้าเป็นสำนวน สมัยพระนเรศ ก็ต้องบอกว่า บ้านเมืองกำลังเป็นทุรยศ เพราะโจรโพกผ้าเหลือง ดังนั้นการรวบรวมไพร่พล เพื่อทำการซักอย่าง ก็เห้นจะเรื่องไม่ยากนัก

เล่าปี่ มีผลงานในการช่วยตั๋งโต๊ะ (เป็นตัวร้ายตัวหนึ่ง) จากโจรโพกผ้าเหลือง แต่เล่าปี่ก็ได้รับบำเหน็จเป็นแค่นายอำเภออันห้อก้วน

มังกรมิอาจอยู่ในโอ่งราชบุรีได้นาน เล่าปี่ ก็ต้องขยับขยาย ไปสู่ที่ที่ใหญ่กว่า
เล่าปี่ กลายเป็น นายพลพเนจร ไปอยู่กับ โตเกี๋ยม เจ้าเมืองชีจิ๋ว
ไปอยู่กับ อ้วนเสี้ยว
อยู่กับ เล่าเปียว
แม้แตอยู่กับ โจโฉ เล่าปี่ ก็เคยนะจะบอกให้

จากนั้น เล่าปี่ ก็ออกมาตั้งตัวเอง โดนโจโฉ บุกมาขยี้
แต่พอมาคบกับ ท่านขงเบ้ง ท่านเล่าปี่ ก็สบายไม่ต้องคิดอะไรเอง มีขงเบ้งบอกบทข้างๆ

สุดท้ายปลายทางเล่าปี่ ก็สถาปนาตัวเองเป็นเจ้า หรือเป็นกษัตริย์ หลังจากทีโจผี ถอดพระเจ้าเหี้ยนเต้ ออกจากบัลลังก์

ชีวิตของสามัญชนขายเสื่อ มาสู่จุดสูงสุด คือ เจ้าแห่งเสฉวน
มันยิ่งกว่า ลูกแม่ค้าขายพุงปลา มาเป็น นายกรัฐมนตรี
หรือว่า อดีตตำรวจอัศวินคลื่นลูกที่สามจุดห้า กลายมาเป็น นายกของคนยากและรากหญ้า
หรือว่า ลูกขุนนางชอบชิม ที่กลายมาเป็น นายกนอมินี

เมื่อก่อน เราดู เราอ่าน ก็จะพบว่า เล่าปี่คือพระเอก
แต่เดี๋ยวนี้ หลังจากที่เล่า ชวน หัว เขียน วิจารณ์เล่าปี่ ไปในอีกทาง
ว่าเล่าปี่ คือตัวร้าย ทัศนคติของผู้อ่านรุ่นใหม่ๆ ต่อเล่าปี่ ก็เปลี่ยนไป กลายเป็นตัวร้าย โจโฉกลายเป็นเคน ธีรเดช เอ้ย เป็นพระเอกซะแล้ว

ผมเลยอยากจะเสนอความคิดกันบ้าง
เรื่อง ของ เล่าปี่ น่าเป็นกรณีศึกษาอย่างยิ่ง

เพราะนั่นคือการ เริ่มจากจุดเล็ก คนเดียว สามคน
กองกำลังน้อยๆ
มาสู่ กองกำลังอันมหึมา

เล่า ชวน หัว อาจจะเขียนโดยอคติ กับ เล่าปี่ มากไป

หากเราจะคิดว่า คนที่ฉลาดย่อมต้องถ่อมตนและรู้หลบหลีก
เล่าปี่ ก็สมเป็นยอดอัจฉริยะ คนหนึ่ง

ในยามทุกข์เข็ญไร้ที่พึ่ง สองมือที่พนม นำเล่าปี่รอดพ้นจากภัย
ยามเด็ดขาด เล่าปี่ ก็หนุนให้ โจโฉ ประหารลิโป้ ซึ่งนั้นก็เพื่อความปลอดภัยในภายหน้า

การที่มีทั้ง ความอ่อนน้อม และความเหี้ยมเกรียม เหมือนคล้ายๆหลอกใช้ หรือหลอกเกาะ
ทำให้ เล่าปี่ มีภาพของ มนุษย์สองหน้า
แต่ถ้าไม่ทำ เล่าปี่ ก็อาจจะตายไปตั้งแต่นานแล้ว
เมื่อเล่าปี่ตาย ไหนเลยจะมีสามก๊กมาให้เราอ่าน
แล้ว อาจารย์ขงเบ้งจะได้ออกมาจาก โงลังกั๋ง รึนั่น

เล่าปี่แทบจะไม่มีอะไรด่างพร้อยเลย เพราะว่ารบทีไรก็ไม่เคยชนะ แพ้ตลอด จะชนะก็เพราะว่ารุมเค้านั่นแหละ

เล่าปี่ จะมาเสียคน ตอนแก่ เมื่อนำทัพ แล้วให้ตั้งค่ายยาวตามแม่น้ำ แล้วก็แพ้ โดนเผาค่าย
ตรอมใจตาย ตามกวนอู เตียวหุยไป

จริงๆก็ไม่น่าตรอมใจเพราะว่าแพ้จนน่าจะชินแล้ว

ภาพของเล่าปี่ ดูดี
นักการเมือง ควรดูตัวอย่าง เล่าปี่ ไว้
นี่คือ สุดยอดนักการเมือง แห่งยุคกันเลยทีเดียว้

เพราะว่า Brand หรือ Image มิได้สร้างกันสามวัน


ผมว่าไม่ใช่แต่เล่าปี่ ที่พนมดาบไว้ในมือ หรอก คนอื่นๆ ก็ด้วยล่ะ

วันปลาๆ

เมื่อวานนี้ วันอาทิตย์ครับ ก็อยู่บ้าน ไม่ได้ไปไหน เพราะว่ามีชะนัก ติดหลังอยู่ คือต้องแก้ทีสิส เพื่อส่งวันนี้

ก็คงเป็นวันสบายๆ ที่รู้สึกไม่สบายซักเท่าไร

จู่ๆ ก็มีโทรศัพท์จาก รุ่นน้องผม คนหนึ่ง

เป็นคนที่ไปตีกอล์ฟด้วยกันเมื่อวันเสาร์

เป็นคนที่จู่ๆก็มากินข้าวที่บ้าน เมื่อวันเสาร์เช่นกัน

เป็นคนที่จู่ๆมันก็บอกว่า จะเข้ามาหาที่บ้านอีก โดยไม่บอกว่าจะมาทำอะไร

พอเค้ามาถึงบ้าน ก็พาแฟนมาด้วย

พร้อมกับถุง..........................

ถุงฟู้ดแลนด์

ในถุงนั้น ก็ประกอบไปด้วย ขิง ซีอิ๊วญี่ปุ่น และ ปลาหิมะ เนื้อขาวจั๊วะ

แต่ไม่มีเครื่องปรุงอย่างอื่นเลย

แค่นี้ผมก็รู้ว่า เค้าจะกิน ปลาหิมะนึ่งซีอิ๊ว

ไวเท่าความคิด แฟนเค้า ก็เข้าครัวเลย

จัดการทำปลาหิมะนึ่ง (มีคลิปด้วย)

วิธีการเห็นจะไม่ยาก เอาปลามาทาเกลือ ไม่รู้จะทาทำไม เค็ม

จากนั้น ก็หั่นขิง กับกระเทียม แล้ว ก็เอาไปผัดกับซีอิ๊ว น้ำมันและเนย ให้หอม แล้วเอาไปราดตัวปลา

จากนั้นนึ่งครับ

รสชาติ ก็อร่อยอยู๋หรอก ถ้าไม่คิดว่า มันเค็มไปหน่อยนึง

ไวเท่าความคิดอีกแล้ว

พอกินเสร็จ เราก็เก็บข้าวของ (ผมนั่งแก้งาน ที่เหลือ ล้างจาน)

ไปร้าน อาหาร ปลาดิบ ทันที

ร้านอาหารปลาดิบ เป็นร้านอาหารที่ผม รุ่นน้องคนนั้น รุ่นพี่คนหนึ่ง และรุ่นน้องอีกสองคน จะไปกินกัน เมื่อวันเกิดผม ที่ผ่านมา

แต่ว่า ไม่มีที่นั่ง

อีกครั้งนึง ก็ไปกินวันจันทร์ ร้านปิด ครับ

วันนี้ประจวบเหมาะ เลยไปกัน

ไม่ลืม จะเเวะไปรับ ลูกเสธ.ด้วง ที่ม.พันสาม ด้วย เธอทำมาเป็นขี้เกียจ แต่จริงๆแล้วอยากไปจนตัวสั่น

ผมโทรจองโต๊ะ เพื่อเป็นการรับประกันว่ามีที่นั่ง

เมื่อไปถึง ร้านโล่งๆ ไม่มีคนเท่าไร

พลิกเมนู ราคาอาหารค่อนข้างสูง แต่ถ้าอร่อยก็ไม่แพงเท่าไรหรอกนะ อาหารฟิวชั่น

ผมสั่ง สปาฯซอสไข่กุ้ง และมันบด (เหมือนเพิ่งจะทำกินเองไป)

พิซซ่า ปลาดิบ และ ข้าวไข่เจียวกระหรี่หมูสับ

เหวอ......

อย่าให้อธิบายเลย กลัวว่า จะกลายเป็นรายการแบบนายกหมัก แดกไปด่าไป

เหอๆ

โดยรวมแล้ว ผมก็ไม่เข้าใจ ว่าทำไม ร้านนี้ถึงขายดี แปลกใจๆ

มีข้อติอีกอย่าง เค้าแบบว่า มีคิดเงินเกินด้วยนะ แต่ก็ได้ทักท้วง ก็ยังดีที่นำพา

เริ่มวันปลาๆ ด้วยปลาหิมะ และจบแบบศพไม่สวยที่ ปลาดิบ

เรื่องนี้ ก็แล้วแต่รสนิยมลิ้นนะครับ อย่าคิดมาก

Wednesday, April 09, 2008

สังคมวิตก!! เด็กเมินเรียนหมอ

ผมนั่งดูรายการทีวี เค้าถกกันเรื่องว่า เด็กเก่งๆเดี๋ยวนี้ไม่เลือกเรียนหมอ หันไปเลือกนิติฯ หรือ สายอื่นๆแทน

เหตุผลเพราะว่า หมอนั้น งานหนัก แถมกลัวโดนฟ้องด้วย

ผมเห็นใจหมอนะครับ

แต่ลองคิดกลับกันว่า จะมีซักกี่กรณีที่หมอถูกฟ้อง ผมว่ายังไงคนไทย ก็ยังนับถือหมอนะ

เหตุผลอีกประการหนึ่งท่ คนไม่เลือกเรียนหมอ เพราะว่า เห็นว่า รมต. สาธารณสุข ชื่อ นายไช(CL)ยาาาาาาาาาาาาาาาาาา (ไม่ใช่ มิตรชัย)

เมืองไทยโชคร้ายที่สุด นอกจาก รัฐบาลนี้ รัฐมนตรีจะขี้เหร่แล้ว รัฐมนตรียังโง่ และดื้อ อีกด้วย

ท่านรัฐมนตรี นั้น แจ้งทรัพย์สินของภรรยา แล้วเผอิญว่า ดันถือหุ้นในบริษัทเกินกว่าที่ กฏหมาย กำหนด และ ปปช. ชี้มูล

ถ้าคนเรามีจิตสำนึกซะหน่อย ก็จะต้องหยุดทำหน้าที่

แต่ทั่น รมต. บอกว่า "ก็ผมไม่ผิดอะ (กฏหมายมันผิดเฟ้ย)"
เมื่อนักข่าวถามเกี่ยวกับ จริยธรรม ทั่นตอบแบบไม่คิด หรือว่าคิดแล้วได้แค่นั้นว่า "จริยธรรมคืออะไร ไม่เห็นบัญญัติในกฏหมาย"

เป็นพวกดื้อตาใส แกล้งทำโง่ จริงๆ

ผมว่า หมอ เจอผู้บังคับบัญชาแบบนี้ เป็นผม ผมก็ไม่เอาเหมือนกัน

เลือกไปเป็น ข้าราชการกระทรวงแถวคลองหลอดดีกว่า มีผู้บังคับบัญชา เป็นเป็ดด้วย (แอ๊คอาร์ต)

หรือเลือกเป็น ข้าราชการกระทรวงการคลัง จะได้ หุ่นเพรียวลม

หรืออีกทางคือ ขอออกนอกประเทศไปเลย

หมดหวังกับประเทศไทยแล้วจริงๆ


Tuesday, April 08, 2008

เมืองไทย เมืองพุทธ