Monday, December 25, 2006

New Entrants!!!

หลังจาก บรรดาเพื่อนพ้อง cactus ทั้ง 7 ต้น ได้สถิตนะห้องกระผม จนได้ต้อนรับเพื่อนบุญธรรมที่ป่วยหนักโคม่า

เมื่อวานก็มีญาติวงศ์ cactus ซึ่งมีภูมิลำเนาจากตลาดต้นไม้ริมคลองแถบเทเวศร์ เดินทางมาอยู่อาศัยร่วมกันอีก 4 และจาก วังหลัง อีก 2

ตอนนี้สิริรวม ก็มี 14 คนเข้าไปแล้ว แต่ข่าวร้ายคือ เจ้าลูกบุญธรรม นั้นทำทีท่าว่าจะไม่รอดซะแล้ว

นอกจากจะมีสมาชิกใหม่ ผมยังซื้อปุ๋ยมาบำรุงด้วย เพื่อความสมบูรณ์พูนสุข ทั้งบำรุงต้นซึ่งเป็นปุ๋ยน้ำ ส่วนอีกอันเร่งดอกเป็นปุ๋ยออสโม่โค้ด งานนี้จะได้เห็นดอกกัน ก็ต้องรอให้พ้นหน้าหนาวนี้ไปก่อนล่ะครับ คงราว ก.พ. คิดว่าน่าจะเริ่มร้อนกันแล้วล่ะ


งั้นเรามาทำความรู้จักกันเลยดีกว่าครับ

ต้นนี้ กำลังดูว่าอยู่ในวงศ์ไหน เคยผ่านๆตาแต่ขี้เกียจจำ

ต้นข้างล่างนี้ ตอนซื้อก็ดูสวยดี แต่ว่าดูไปดูมา มันไม่น่าใช่ cactus ครับ คงเป็น Uphobia เป็น succulent อะนะ คิดว่า แต่ว่าก็ดูสวยดี

ต้นนี้เล็กมาก ดูไม่ออกว่าอยู่วงศ์ไหน

ส่วนอันนี้เป็น Astrophytum แต่วงศ์ไหน ก็ไม่แน่ใจ กำลังจะแทงดอกออกมา คิดว่า ไม่น่าจะเกิน ก.พ.

ต้นนี้มาจาก วังหลัง netto ซื้อมาฝาก บอกว่ามันเหมือน mickey mouse (เราว่าเหมือน โดเรมอนโดนกัดหูมากกว่า) ต้นนี้เป็น Opuntia microdasys รึป่าว ก็ไม่แน่ใจ ออกดอกง่าย ต้นนี้ผมก็เคยเลี้ยงตอน ม.ปลาย แต่ก็ตายไปนานแล้ว ไว้อาลัยด้วย

ส่วนเจ้านี่ ก็เป็น Astrophytum เช่นกัน เข้าใจว่าจะเป็น วงศ์ myriostigma สายตายังไม่ดี ไม่สู้แน่ใจ

ส่วนเจ้าลูกบุญธรรมนี่ รากเน่ารากขาด รากตาย ไปแล้วแหละนะ อาการสาหัส ว่าจะทำศพให้สมเกียรติเหมือนกัน ใครจะเป็นเจ้าภาพ ก็ติดต่อมาได้ คิดแล้วก็เศร้า


ช่วงนี้อากาศหนาว งดให้น้ำมา 2 อาทิตย์แล้ว แต่ชอบเพราะว่า แดดดี เหลือเกิน ครั้งหน้าคงจะต้องเปลี่ยนกระถางให้ Golden Barrel (2 ต้น แถวกลาง) เพราะดูแล้วบ้านออกจะแคบไป หาตังค์ซื้อกระถางซื้อดินซื้อหินก่อนนะครับ ช่วงนี้กินจนเหลือเงินไม่มาก แต่พุงใหญ่ทำไงดี

Wednesday, December 20, 2006

The King's Man


สำหรับหนังเกาหลีเรื่องนี้
ผมเห็นช่อง 7 โฆษณาหนังเรื่องนี้ รู้สึกชอบในบรรยากาศของฉาก และอลังการงานสร้าง และรวมถึงบทบาทของตัวละคร โดยเฉพาะ พระราชา ที่ตอนแรกนึกว่า พี่ปั๋ง ไปแสดงหนังเกาหลี เลยหวังว่าจะดูให้ได้ แต่ว่าดันมีสองโรงคือ พารากอน และที่สยามดิสฯ
แต่เผอิญว่าที่ ห้องสมุดปรีดี เค้ามีฉายพอดี เลยลงไปดูกับพี่โบโบ้และพี่เก้า

ไม่ได้จะมาวิจารณ์หนังเรื่องนี้นะว่าดีหรือไม่ เพราะว่า ไม่ใช่นันทขว้าง ดีหรือไม่ อันนี้ผมว่าอยุ่ที่ใครชอบมากกว่า




The King and The Clown เป็นหนังที่ถ่ายทอดความเป็นจริงระหว่าง พระราชา ขุนนาง และประชาชน

การกดขี่ของผู้นำซึ่งไม่ดำรงตนอยู่ในธรรม ก็มักจะโดนล้อเลียนออกมาในเชิงของการแสดง คล้ายกับประเทศหนึ่งซึ่งก็เคยล้อเลียนท่านผู้นำ ผ่านงิ้วมาแล้วนั่น แล้วก็ออกจะเป็นที่ชื่นชอบของคนดูซะด้วย เป็นการระบายออกทางหนึ่งของประชาชน (ไม่รู้ว่านายโรง อย่างอ.วิโรจน์ จะโดนเรียกไปพบแบบในหนังหรือไม่ - ฮา!!)
แต่อย่างไรซะสุดท้ายก็ถูกจับไปโบย
ผมมาสะดุดกับความขัดแย้งของฟิวดัลลอร์ดกับพระราชา รุนแรงจนถึงขั้นต้องปฏิวัติในตอนจบเรื่อง ทำไมมันหมือนกันไปได้ แถม พระมเหสีก็ยังร้ายอีก คุ้นๆเชียวล่ะ

ผมชอบในบทบาทการแสดงของพี่ปั๋งมาก แสดงบ้าๆ เหมือนคนวิกลจริตได้สมบทมาก ขโมยซีนไปหลายฉาก แต่รู้สึกว่ามเหสีนี่ยังร้ายไม่สะใจ ผู้เขียนเกาหลีอาจจะต้องหา เรือนรักเรือนทาส ไปดูซะหน่อย จะได้รู้ว่าตัวร้ายเนี่ยมันต้องร้ายอย่างไร ร้ายประมาณไหน

และที่ขาดไม่ได้คือบทบาทของ อีจุนกิ หรือ ลีจุนกิ ซึ่งได้รับรางวัลนักแสดงดาวรุ่งยอดเยี่ยมจากหนังเรื่องนี้ เค้าหรือเธอคนนี้ รับบทเป็น กองกิล เป็น Ladyboy ผู้ซึ่งเติมเต็มความอ่อนโยน (คิดว่าไม่น่าจะใช่ความรักรัก) ให้กับพระราชา จนเป็นที่มาของความขัดแย้งระหว่าง พระราชากับตัวตลก จุนกิ แสดงได้ไม่เลวในซีนอารมณ์ และแสดงได้กุ๊กกิ๊กมาก ในซีนที่เล่นละครเป็นคนตาบอดกับเจ้าจางซัน พระเอกนั่น รวมถึงฉากถวายตัว? ในครั้งแรกด้วย








สุดท้ายลองเอารูปมา review กันครับ




























ส่วนเนื้อเรื่องนี่ขออนุญาตคัดลอกของท่านอื่นมา ลองอ่านดูครับ



ด้วยความที่ยากจน และใจอ่อน โกงกิรมักจะยินยอมต่อคำสั่งที่ผู้ว่าจ้างหรือเจ้าเมืองที่หลงใหลในรูปโฉมของ โกงกิร สั่งให้ทำอยู่เสมอ แต่ชางแซง ก้อไม่อยากให้เพื่อนต้องเอาตัวเข้าแลกเพื่อความอยู่รอด โกงกิรเผลอฆ่าคนรับใช้ของเจ้าเมืองที่จะตีขาของชางแซง (ถ้าขาหัก ก้อไม่สามารถร้องเล่นละครเร่ที่ใจรักกันได้อีกต่อไป)ทั้งสองจึงต้องหลบหนีเป้าหมายใหม่ที่ทั้งสองไปคือเมืองหลวงทั้งสองได้รู้จักกับนักแสดงท้องถิ่นและสุดท้ายได้ร่วมแสดงด้วยกันชางซอร หัวใสหยิบเอาเรื่องซุบซิบนินทาของกษัตรย์มาเล่นล้อเลียน ทำให้ชาวบ้านสนุกสนานชอบใจ สร้างรายได้ให้เป็นอย่างมาก แต่ก้อทำให้ทั้งหมดเกือบเดือนร้อนเมื่อขันทีจากวังหลวงมาจับ แต่ ชางซอร หัวใสก้อยังไม่ยอมจนมุมง่าย ๆ เอ่ยปากต่อรองไปว่าการแสดงนี่ก้อทำให้กษัตรย์สนุกสนานหัวเราะพอพระทัยได้ เป็นสาเหตุให้ทั้งหมดได้เข้าไปแสดงต่อหน้าพระพักตร์ กษัตรย์พระองค์นี้ ที่มีปมในจิตใจ พระองค์ไม่ถึงกับบ้าบอไม่รู้ความอะไรไปเลยซะทีเดียวหรอกนะคะพระองค์มีสนมที่รักและรู้ใจมาก พฤติกรรมที่มักจะโดนเอาไปซุบซิบก้อเพราะ พระองค์ทำตัวเหมือนเด็กตลอดเวลา ทั้งกับพระมเหสีที่มักจะเล่นเป็นแม่ลูกกันเสมอซึ่งเป็นเรื่องที่ ชางแซง เอามาเล่นละครล้อเลียนจนชาวบ้านติดใจ พระองค์ดูแล้วก้อหลุดขำออกมาเหมือนกัน เพราะชางแซงกับโกงกิรดันนึกมุขตลก ที่ตรงกับพฤติกรรมจริงที่พระองค์กับมเหสีทำจริง ๆเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้น เมื่อพระองค์ติดใจรูปโฉมของ โกงกิร จนเรียกให้เข้าพบทุกคืน แต่ทั้งสองก้อไม่ได้มีพฤติกรรมชู้สาวอะไร เพียงแต่โกงกิร สามารถจับจุดอ่อนในจิตใจของพระองค์ เล่นตุ๊กตามือ เล่นไฟเล่าเรื่อง ทำกิจกรรมให้พระองค์สนุกเพลิดเพลินใจได้เสมอ แต่ก้อแน่ล่ะ ที่จะให้พระมเหสีไม่พอพระทัย เพราะ โกงกิร สวยซะ ชางแซง ได้รับเรื่องราวจากขันทีผู้จงรักภักดีที่นำตัวเข้าวังเสมอ ๆจึงนำเรื่องราวที่ได้รู้มา มาทำละครล้อเลียนสร้างความขบขันให้กับองค์กษัตรย์แต่เบื้องหลังแล้ว นั่นคือการกระตุ้นเตือนให้พระองค์ได้เห็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นรอบกายพระองค์ ทั้งเรื่องขันทีรับสินบน รวมไปถึงเรื่องที่พระองค์คิดว่าพระบิดาสังหารพระมารดา อย่างไร้เหตุผล ชางแซงและโกงกิร เล่นละครให้พระองค์ได้เห็นความจริงว่า ที่แท้จริงแล้ว พระมารดาโดนเหล่าสนมที่อิจฉา(เพราะมีลูกชาย)กลั่นแกล้งและพระบิดาโดนพระสนมคนอื่น บังคับให้เอายาพิษให้พระมารดาดื่มแต่ด้วยความที่พระองค์สติไม่สมประกอบ จึงทำให้ลุโทสะฆ่าพระสนมทั้งหมดตายทันที หลังจากที่ได้ดูละครที่ชางแซงและโกงกิรเล่น เรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นอีก เมื่อเหล่าขันทีทั้งหลายไม่พอใจที่ทั้งสองมักจะแอบเปิดโปงเรื่องต่าง ๆ ผ่านการแสดง รวมไปถึงพระมเหสีที่ไม่พอพระทัยในตัว โกงกิรที่ได้รับความสนใจจากกษัตรย์มากกว่าตัวด้วยความที่โกงกิร สงสารองค์กษัตรย์จึงไม่อยากละทิ้งไปง่าย ๆ ทำให้ทั้งสองประสบปัญหามากมาย จนสุดท้าย ทั้งขันทีผู้ภักดี ชางแซง และ โกงกิร ต่างสุดกำลังที่จะช่วยองค์กษัตรย์ได้ ขันทีผู้ภักดี แขวนคอตาย ชางแซง และ โกงกิร แสดงต่อหน้าพระพักตร์จนถึงนาทีสุดท้าย องค์กษัตร์ย์และมเหสี ดูการแสดงที่สนุกสนานจนถึงวินาทีสุดท้าย ก่อนจะโดนเหล่าข้าราชบริพารรุมประชาทัณฑ์

Tuesday, December 19, 2006

เที่ยวสุวรรณภูมิ

ช่วงนี้ไม่มีโปรแกรมไปเที่ยวไหน โดยทางเครื่องบินหรอก แต่ว่า พอดี คุณชะเอม ผู้ได้รับ McBook จากอ.ธเนศ และแบกรับภารกิจอันเป็นหน้าเป็นเป็นตาของประเทศในการรับแขกเมือง มีอันจะต้องไปสำรวจสนามบินใหม่ ก็เลยชวมผมไปด้วย
นั่งรถฟรี แถมได้ไปเที่ยวที่ที่อยากจะไป ก็โอเคสิครับ
นัดกันไว้ 9.00 กว่าจะได้ออกก็ 9.30 โน่น แหนะ เรียกรถที่ 7-11 ตอนแรกก็คิดว่า taxi จะไปป่าววะ ผลคือ คนขับไม่มีลังเลเลย
รถออกมา พี่แกก็พาเราไปเมือง ไปทางบางนา (พี่แกบอกว่า พระราม 9 รถติด) สุนิสาฯโลก สรตะหลงจ้งแล้ว ค่ารถค่าทางด่วน ปาไป 400






สุวรรรภูมิ ดูไปดูมา สถาปัตยกรรมก็เหมือนสนามบินที่อื่นในโลกแหละ มันจะอลังการกว่าตรงไหน

แว่บแรกที่ไป รถไปส่งที่ ผู้โดยสารขาออก คนก็เยอะมาก ไม่รู้จะไปไหนกันนักหนา

เหลือบไปเห็นหอบังคับการบิน ที่สูงที่สุดในโลก(แล้วไง) แล้วก็เครื่องบิน เอากล้องออกมาถ่ายก็เลยได้รูปประมาณนี้

เป็น เอม มองเครื่องบิน ซะงั้น


เดิน งง งง กะ ชั้น 4 อยู่ ซักพัก ก็เหาะไปดูชั้น 3 ซึ่งก็เป็นร้านขายอาหาร ก็มีเยอะนะ แต่ราคาน่ากลัวมาก นอกจากร้านขายอาหารที่มีทั้ง black canyon,S&P ยังมี brand ประหลาดๆๆ เพียบ พวกข้าวเหนียวหมูปิ้ง น่องไก่ทอด 15 บาท ก็มีนะ ข้าวกล่องกล่องละ 30 บาท พวกกระเพราหมูไข่ดาว อะไรประมาณนี้
เครื่องดื่มก็มีร้าน Family มีประมาณจะร้อยสาขาแล้วมั้งในสุวรรณภูมิ คือเดินไปทางไหนก็เจอ (ไม่ได้เดินไปข้างในเลยไม่รู้ว่า กับ king power อะไรจะเยอะกว่ากัน)ราคาของใน family mart ก็เท่ากับข้างนอกแหละ ของขายก็ทุกอย่าง เพราะฉะนั้นไม่ต้องกลัวอด






พูดถึงห้องน้ำที่ว่า มีน้อยบ้าง ก็เห็นมีอยู่นะ เสียอย่างเดียวแคบมาก เข้าไปเกือบหายใจไม่ออก ห้องน้ำหรือโลงศพ คือตัดพอดีตัวเชะเด๊ะ โชคดีที่ไม่อ้วนมากเท่าไร ยังรอดไป






ซักพัก ก็เดินลงมา สำรวจประตูผู้โดยสารขาเข้า หาอยู่นานมาก คือด้วยความไม่รู้ เลยเดินลงไปชั้น 1 ต้องย้อนกลับมาชั้น 2 แล้วก็เจอประตู A B C แล้ว เอม ก็เริ่มสำรวจหาจุดนัดพบ ว่าจะนัด เจ้านายทั้งหลายที่ไหนดี เพราะว่าดันมีหลายประตู สรุปคือ ออกมาเลย แล้วก็เลี้ยวซ้ายไปเรื่อยๆ จะเจอ ง่ายจริงๆ






รู้สึกว่า ทางออกประตูขาเข้า มันดูแคบๆ เพราะว่าพื้นที่ของบูธ ต่างๆ ก็กินไปซะเยอะ หรอว่าเพราะว่าคนมันเยอะก็ไม่ทราบได้

จากนั้น ผมกับเอม ก็แยกทางกันซักพัก ผมไปชั้น 4 เอมไป วาดแผนที่

ผมเดินไปเรื่อย ถ่ายรูปไป แล้วก็ไปแวะซื้อ นมเปรี้ยวกับลูกเกดมานั่งกิน เหลือบไปเห็นพนักงานใส่เครื่องแบบ ไม่รุ้ว่าเป็น แอร์ รึป่าว นั่งซัดมาม่าจะอย่างอร่อยในร้าน family mart คงหิวล่ะมั้ง เดินไปเดินมา ก็จะไปเจอกับร้านขายหนังสือนายอินทุก 200 เมตร ก็แวะไปดู เลยได้หนังสือติดมือมาซะงั้น ทีอยู่ที่ท่าพระจันทร์ดันไม่ซื้อ

ด้วยกำหนดเวลา ต้องกลับซะที งานเสร็จแล้วนี่ เลยขึ้นไปดูเครื่องบิน บนชั้น 7 ซะ

จบการไปสำรวจสุวรรณภูมิ แบบจืดๆ แต่ก็สุขใจ ประมวลภาพดูกันดีกว่านะ














Thursday, December 14, 2006

Blog รวมรูป

เห็น Duke มี ลองบ้างดินะ
http://pjanectu.blogspot.com/

Wednesday, December 13, 2006

ย่ำแดนมังกร (15) : คืนสู่ฮ่องกง (2)

จริงๆแล้วตั้งใจจะเขียน blog ยาวๆ แต่พอเจอบทความ sweatshop เข้าไปเล่นเอามึนไปชั่วครู่ แอบนินทาเหอะ รุ่นน้องสมัยนี้เขียนหนังสือดีมากเลย เล่นเอาผมสะดุ้งไปหลายบรรทัด
อยากเล่าเรื่องไปเที่ยวดูน้ำท่วม พออ่านที่น้องหญิงเขียน (http://ycmm2528.spaces.live.com/) รู้สึกว่า เราไม่อยากเขียนแล้ว น้องเค้าเขียนสนุกดีแถมนินทากรู อีกต่างหากแต่ถ้ามีเวลา ก็อยากจะถ่ายทอดอีกมุมมองของเรา ให้ลองอ่านกันบ้างติดแต่ว่า เรื่องที่ไปฮ่องกงมันยังไม่จบน่ะสิ เลยมีทางเลือกคือ รีบเขียนฮ่องกงให้มันจบๆซะที หรือก็หยุดเหอะ แล้วมาปั่น proposal ก่อนจะโดน ปูนและกอล์ฟ แซงหน้าไปประหนึ่งถูกจิงโจ้ว่ายน้ำแซงหน้าก็มิปาน
หรือว่า ทำทุกอย่างไปพร้อมๆกัน
สรุปคือ ทำทุกอย่างดีกว่า สวัสดิการของสังคมจะไม่เลวลงไปกว่านี้นะ
กลับมาที่ การเดินทางกลับมาสู่เกาะฮ่องกง
คณะทัวร์ของซีซั่น ฮอลิเดย์ เดินทางออกจาก Lo Wu ซึ่งเป็นสถานีต้นทาง เพื่อจะไปลง Hung Hom ระยะทางก็ไกลอยู่ ใช้เวลาเดินทาง 1 ชม. กว่าๆ ขากลับนี่ได้นั่งล่ะ ก็แน่ล่ะครับ เล่นขึ้นต้นทางอะ ไม่ได้นั่งมันก็คงจะทรมานพิลึกเชียว และก็โชคดีกว่าตอนขามา เพราะว่าเป็นตอนกลางวัน จะได้เห็นอะไร ข้างทางบ้าง




ภาพแรกที่เห็นเมื่อรถไฟออกจากสถานี ก็เป็นภูเขาล่ะครับ ผมค่อนข้างจะทึ่งกับสภาพภูมิประเทศที่สวยงามอยู่บ้างของเซินเจิ้น และท้องทุ่งกว้างๆ ที่เต็มไปด้วยหญ้า
รอบๆผมก็ เป็นคนเดินทางชาวจีนทั้งนั้นแหละ เดาเอาจากเหล่าเต๊ง ที่ตาอะนะ บรรยากาศบนรถเงียบสงัดเชียว ไม่มีใครพูดอะไร เรานั่งฝั่งตรงข้ามกับน้าผกา สามีของน้าผกาก็ควักหนังสือ ประมาณปัญหาไฟใต้มาอ่านช่วงนั้นกำลังอินเทรนด์



รถไฟก็ผ่าน ไปหลายสถานี คนก็แน่นขึ้นเรื่อยๆ แล้ว พอผ่าน Tai Po Mkt station (ดูแผนที่ประกอบ) ก็มีอาม่าแก่ๆ คนนึงขึ้นมา เข้าใจว่ามาตลาด เพราะว่าถือตะกร้าใส่ผักมาด้วยเตรียมจะกลับบ้านล่ะมั้ง พี่ผมก็ลุกให้นั่ง (ทำไมไม่เป้นผมใช่มั๊ย ก็กรูเมื่อยอะ) อาม่าแกก็ขอบใจ -เดาว่าขอบใจ เพราะว่าไม่รุว่าพูดว่าอะไร- แต่อาราม อาม่าอีคง ฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่อง เพราะผมกับพี่ก็พูดนินทาแกนั่นแหละ ประมาณว่า คงไปตลาดมา อะไรประมาณนั้น ดูแกจะหวาดๆ เราสองคนอยู่ไม่น้อย ว่าไอ้สองคนนี่มันพูดอะไรกัน
พอรถถึง สถานี Tai Wei ซึ่งเป็นจุดเชื่อมระหว่างรถสองสาย คนเริ่มลงกันมากขึ้น แกก็รีบ ย้ายตัวเองไปนั่งที่อื่นทันที ไม่รู้ว่ากลัวอะไรเหมือนกัน แต่อาจจะเป็นมารยาทที่ดีก็ได้ ใครจะรู้


จากจุดเชื่อมมาไม่นานก็ถึง Hung Hom สถานีรถไฟ ก็เป็นที่เดียวกับที่เราขึ้นไป Lowu นั่นแหละ ทุกอย่างก็ยังคงทุลักทุเลเหมือนเดิม เนื่องความเพราะกระเป๋าใบใหญ่มหาศาลนั่นเอง ปรากฏว่าโดนประตูหนีบ เจ็บนิดๆ แต่ก็ไม่เท่าไร

จาก Hung Hom ก็อารามว่า หิวข้าวครับ เพราะกว่าจะหลุดการตรวจคนเข้าเมืองของ ฮ่องกง ก็ ปาไปเที่ยงกว่าแล้ว รถโค้ชก็มารับพวกเราไปกินข้าวครับ ข้าวเที่ยงมื้อนี้เป็นอาหารจีน สไตล์แต้จิ๋ว เค้าว่า อาหารฮ่องกงอร่อยกว่า เซินเจิ้น ก็จะลองชิมดู ร้านที่เราไปเป็นภัตตาคารชื่อดัง อยู่แถว ซิมซาจุ่ย จะฝั่งไหนไม่แน่ใจ รู้แต่ว่าฟังชื่อภัตตาคารแล้วสะดุ้งครับ เพราะว่าชื่อ "ทิ่มตงหอย" เป็นชื่อกวางตุ้ง หอย นี่แปลว่าทะเล ทิ่มๆ นี่ไม่รุ้ว่าแปลว่าอะไร

เสร็จจากอาหารเที่ยงแล้ว เราก็ถูกส่งไปซื้อของสิครับ ก็ตามธรรมเนียมแหละ เป็นทัวร์ไหนก็จะต้องโดนส่งไปซื้อของ (แต่จริงๆเราก็ตั้งใจมาซื้อทองคำที่ฮ่องกงนะ)

ไกด์สาวซาซ่า แนะนำว่าจะพาไปดูส้วมทองคำ และก็แนะนำสินค้าว่าเป็นจี้ รูปงู เทพธิดาแห่งโชค จะนำโชคดีมาให้ แล้วรถก็เลี้ยวไปที่ร้านเลย เป็นอาณาจักรเลยใหญ่มาก เค้าบอกว่าเป็นของมหาเศรษฐีอันดับเท่าไรของฮ่องกงจำไม่ได้ ก็เหมือนเดิม มีคนมาขายของให้แต่งานนี้เป็นคนไทย ชื่อคุณอุไร พูดไทยชัดเจน

เธอก็พาชมสินค้า ลวดลายทองของฮ่องกงนั้นขึ้นชื่ออยู่แล้ว จำได้ว่าตอนไปนั้น ทองคำตก ออนซ์ละ 500 กว่าเหรียญ นับว่าแพงอยู่ แต่ถ้าเทียบกับตอนนี้ซึ่ง 630 เหรียญนี่ถูกไปเลยเชียว

คนอื่นดูจะตื่นเต้นกับอะไรที่เป็นทองๆ เราก็ตื่นเต้น นะ โดยเฉพาะ กับสร้อยคอ ซึ่ง ลายสวยมาก เลยเทกระเป๋าซื้อไปฝากแม่ คือมีดอลล่าร์ เงินฮ่องกง เงินหยวนเศษเท่าไร ก็เทออกมาเลย (เงินไทยมันไม่เอานี่หว่า) ราคาประมาณ 20,000 กว่าบาทเอง ตอนนี้ซื้อก็ราวๆ 35,000 ได้มั้ง กลายเป็นของถูกไป

ที่ซื้อทองเพราะว่า ทองฮ่องกงนี่ก็เปอร์เซ็นต์ดีอยู่ ส่วนอย่างอื่นพวก จี้ที่เค้าชวนให้ซื้อ ไม่ซื้อครับ เพราะดูไม่เป็นว่าแท้ป่าว

พอเราซื้อทองแล้ว แทบจะกลายเป็นลูกค้า VIP มาในบัดดล เรียกว่า เค้าเสนออันนั้นอันนี้ให้เพียบ ขากลับนี่แทบจะอุ้มขึ้นรถกันเลยทีเดียว จบจากการช้อปปิ้งทองคำ แล้ว เค้าก็พาไปที่ที่จะต้องไป คือ Victoria Point ถ้าเป็น อุทัย ก็ขึ้นยอดเขาสะแกกรัง ประมาณนั้น

ไว้มาเล่ายาวๆแล้วกันครับ

Friday, December 08, 2006

Camfrog!!

มีรุ่นน้องมาแนะนำให้ลองเล่น camfrog ดู เพราะเป็นของเล่นใหม่ของบรรดาสิงห์นักแชต
เพื่อความรู้เท่าทัน และไม่ตกยุค ผมกห็ไม่รอช้า รีบไปหาดาวน์โหลดมา
หาไม่ยาก โหลดแสนง่าย ถ้าเคยออนเอ็ม ล่ะก็ขนมหวานกันทีเดียว
ไม่นานนัก ผมก็เข้าถึงห้องต่างๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนชอบโชว์ เพราะว่าการโชว์เนื้อหนังมังสาหารมีมานานอักโขภิณีอยู่
คงกำเนิดมาพร้อมกล้อง webcam นั่นเทียว แต่ที่ ICT เพิ่งจะตื่นจากภวังค์ก็ด้วยใดไม่ทราบ ทำให้พักนี้ camfrog community เงียบเหงาไปพักหนึ่ง ทั้งคนโชว์ คนส่อง คนฟังเพลง และ DJ

เป็นคำถามที่ทำให้ต้องคิดว่า แล้วจะจัดการอย่างไรกับเจ้า camfrog
ตอบให้ก็ได้ว่า ล้านเปอร์เซ็นต์ ยังไง camfrog ก็ยังอยู่คู่โลกนี้ไป ตราบใดที่"ตลาด" มันยังเกิด
ผมก็ไม่รู้หรอกว่า supply ต่างๆนี้นอกจาก utility ที่ได้จาก คำชม ว่านมสวยมาก ขาวมาก เนียนมากแล้วนี่ จะมีอะไรแอบแฝงอยู๋รึป่าว เช่น การขายที่นาหลังไมค์ แต่สำหรับคนชอบส่องแล้ว ต้องขาวและดี ไมงั้นโดนด่าไม่รู้ด้วย (ให้ดูแล้วยังถูกด่า ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ)
อย่างไรก็ตาม นอกจาก solo show แล้ว Duo showอาจจะเตลิดไปถึง threesome ก็ดูจะเป็นที่ชื่นชอบของ พวกชอบส่อง พอๆกับพี่ที่ชอบโชว์นั่นแหละ แต่ก็ใช่ว่ามันจะเหลวแหลกไปซะทั้งหมด อย่างน้อยพวกส่อง ต้องมีจรรยาบรรณคือ ห้าม cap หรือ load ภาพลงเครื่องเพื่อไปเผยแพร่ต่อ ห้ามพิมพ์คำว่ากระเทย ไม่งั้นจะโดนเตะ การโชว์ ห้ามใส่เสื้อเหลืองหรือมี สายรัดข้อมือ และใช้คำพูดที่สุภาพ(-ข้อนี้ทำได้รึป่าว)

ICT หรือแม้แต่วัฒนธรรม ลองตรองดูว่าจะสกัดอย่างไร เพราะว่ เทคโนโลยี มันเปลี่ยนไปเร็วมาก ขิงแก่ จะทันรึป่าวน้า